พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของกัญชา*
พืชกัญชามีกำเนิดในแถบเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีหลักฐานว่ามีการใช้ประโยชน์จากกัญชาตั้งแต่ยุคหินใหม่ (Neolithic Age) พบหลักฐานว่า มนุษย์รู้จักปลูกพืชกัญชาเพื่อใช้ประโยชน์ จากเส้นใยที่เกาะไต้หวันเป็นครั้งแรก ส่วนการใช้เป็นพืชออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทนั้น อาจจะเกิดจากความบังเอิญจนพัฒนาไปสู่การใช้ในพิธีกรรมและความเชื่อต่าง ๆ รวมทั้งการใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดโรค จนพืชกัญชาถูกใช้เป็นพืชปลูกเพื่อใช้เส้นใย เป็นยา และใช้ในพิธีกรรมความเชื่อเรื่อยมา พิธีกรรม ของลัทธิฮินดูและพุทธศาสนานิกายตันตระของอินเดียและทิเบต มีการใช้เรือนช่อดอกและยางของกัญชา ในการช่วยให้เกิดสมาธิและสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้
ว่ากันว่าในราว 5,000 ปีก่อนในแผ่นดินจีนมี "เสินหนง (Shennong)" ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "เทพเจ้าแห่งชาวนา" ผู้ซึ่งจดบันทึกประโยชน์ของสมุนไพรต่าง ๆ และได้บันทึกว่า กัญชาใช้บำบัด "ความเหนื่อยล้า (fatigue), โรคไขข้ออักเสบ (rheumatism) และไข้มาลาเรีย" มีการใช้น้ำมันและโปรตีนจากเมล็ดกัญชาในการบำบัดโรคผิวหนังอักเสบ โรคสะเก็ดเงิน และลดการอักเสบในอียิปต์โบราณหญิงสาวใช้กัญชาในการลดอาการปวดและปรับอารมณ์ เช่นเดียวกับชาวโรมันที่ใช้รากกัญชาในการลดอาการปวด
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานการใช้กัญชาในอีกหลากหลายชาติพันธุ์ เช่น กรีก ฝรั่งเศส อาหรับ ในยุคล่าอาณานิคมเป็นยุคที่กัญชาเป็นที่รู้จักไปทั่วทวีปยุโรป โดยแพทย์ชาวโปรตุเกสได้บันทึกฤทธิ์ของกัญชาในอินเดียไว้ว่าทำให้เคลิ้มสุข ทำให้สงบ กระตุ้นการย่อยอาหาร ทำให้ประสาทหลอน และกระตุ้นกำหนัดในการแพทย์อายุรเวทของอินเดียใช้ใบกัญชาแห้งเป็นเครื่องยา มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น Vijaya, Bhanga, Kanja, Charas โดยมีสูตรตำรับที่มีส่วนผสมของกัญชา คือ Jatiphaladi Curna และ Madadananda Modaka ใช้สำหรับบำบัดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร (Agnimandya), นอนไม่หลับ (Anidra), ท้องร่วงเฉียบพลัน (Atisara) เป็นต้น
ในอินเดียมีการนำกัญชามาเตรียมเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายแบบ โดยมีชื่อเรียกต่างกัน ที่สำคัญ เช่น มาริฮัวนา (marihuana, marijuana) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเรือนช่อดอกตัวเมีย (กะหลี่กัญชา) มาผึ่งให้แห้ง แล้วบดเป็นผงหยาบ
กัญชา (ganja) เป็นผงหยาบของดอก ผล หรือใบแห้ง นำมาอัดเป็นแท่ง หรือแผ่นบาง
แบง (bhang หรือ bang) เป็นผงหยาบของใบกัญชา อาจมีช่อดอกเพศผู้หรือช่อดอกเพศเมียปนมาเล็กน้อยจัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพต่ำ
แฮชิส (hashish) หรือ ชาราส (charas) เป็นยางกัญชาที่เตรียมได้จากการนำกะหลี่กัญชามาใส่ไว้ในถุงผ้า ใช้ไม้ทุบให้ยางไหลออกมา แล้วจึงขูดยางออกจากถุงผ้า ชนิดนี้จัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความแรงสูง
พฤกษศาสตร์ของกัญชา*
กัญชาเป็นไม้ล้มลุกปีเดียว ลำต้นตั้งตรง สูง 1-5 เมตร มีขนสีเขียวอมเทาและไม่ค่อยแตกกิ่ง ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปฝ่ามือ ขอบใบเว้าลึกจนถึงจุดโคนใบเป็น 5-๗ แฉก แต่ละแฉกรูปยาวรี กว้าง 0.3-1.5 เซนติเมตร ยาว 6-10 เซนติเมตร โคนและปลายสอบ ขอบจักฟันเลื่อย แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้มกว่าด้านล่าง ดอกขนาดเล็กแยกเพศต่างต้น (แต่อาจพบต้นที่มีดอกแยกเพศร่วมต้นได้บ้าง) ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่งมีกลีบชั้นเดียว 5 กลีบ กลีบไม่ติดกัน เกสรเพศผู้มี 5 อัน ดอกเพศเมียเมียออกเดี่ยวตามซอกใบและปลายยอดแต่ละดอกมีใบประดับสีเขียวเข้ม คล้ายกาบและมีขนเป็นต่อมหุ้มอยู่ ไม่มีกลีบดอก มีรังไข่ 1 อัน ภายในช่องเดียวผลเป็นแบบผลแห้งเมล็ดล่อน ขนาดเล็ก เกลี้ยง สีน้ำตาล ช่อดอกเพศเมียของกัญชาเรียก "กะหลี่กัญชา" (แต่บางท้องที่อาจเรียก "กะเต็น")
ส่วนใหญ่กัญชาเป็นพืชที่ปรับตัวได้ดีในทุกสภาพอากาศ ดิน แมลงศัตรูพืช เป็นต้น จึงทำให้กัญชาพันธุ์เดียวกัน หากนำไปปลูกในอีกสถานที่หนึ่งที่สภาพอากาศ ดิน ตลอดจนการดูแลที่ต่างกัน จะทำให้กัญชาพันธุ์นั้น สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ส่งผลต่อลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของพืช อาจทำให้ความสูงแตกต่างกัน การเรียงตัวของใบต่างกัน ตลอดจนการสร้างสารองค์ประกอบเคมีอาจจะแตกต่างกัน
นอกจากนี้ พืชกัญชายังสามารถผสมข้ามสายพันธุ์ เนื่องจากโดยทั่วไปพืชกัญชาส่วนใหญ่มีดอกที่แยกเพศต่างต้น หากเกสรเพศผู้ของกัญชาสายพันธุ์หนึ่งผสมพันธุ์กับเกสรเพศเมียของกัญชาอีกสายพันธุ์หนึ่ง ก็จะเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ขึ้น อาจทำให้สายพันธุ์ใหม่ที่มีความแตกต่างกันออกไป พบว่าเกสรเพศผู้ของกัญชาสามารถปลิวไปได้ไกลถึงราว 100 กิโลเมตร จึงทำให้กัญชามีลักษณะที่อาจแตกต่างกันออกไปตามแต่ละสายพันธุ์ จึงนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย โดยอาจให้เส้นใยที่เหนียวและทนทาน ใช้เป็นยาใช้สูบ เพื่อสันทนาการ เป็นต้น
เนื่องจากมนุษย์รู้จักใช้ประโยชน์จากกัญชามาแต่โบราณ พืชกัญชาจึงพัฒนาเป็นพืชปลูกทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วไป ใน พ.ศ. 2296 ลินเนียส (Linnaeus) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนเป็นผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของกัญชาเป็นคนแรกว่า Cannabis sativa L. และจัดให้อยู่ในวงศ์ Cannabaceae ตีพิมพ์ ในหนังสือชื่อ Species Plantarum ต่อมาในปี พ.ศ. 2418 ลามาร์ค (Lamarck) นักธรรมชาติวิทยา ชาวฝรั่งเศสได้เสนอ ชนิดของกัญชาเป็น 2 ชนิด คือ
C. sativa เป็นกัญชาชนิดที่ปลูกในประเทศทางซีกโลกตะวันตก และ
C. indica Lam. เป็นพืชกัญชาป่าที่พบในธรรมชาติที่อินเดียและประเทศเพื่อนบ้าน
ต่อมาภายหลังมีการเสนอชนิด C. ruderalis Janisch. อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนักพฤกษศาสตร์ยอมรับว่าพืชกัญชา มีชื่อวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องเพียงชื่อเดียว คือ Cannabis sativa L. และชื่ออื่นเป็นชื่อพ้อง อย่างไรก็ตาม มีผู้เสนอให้แบ่งพืชกัญชา เป็น 2 กลุ่มย่อยตามลักษณะทางพฤกษศาสตร์และสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ที่พบ คือ กลุ่ม sativa-type และกลุ่ม indica-type ซึ่งมีรายละเอียดตาม ตารางที่ 3