ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

สรุปให้เข้าใจง่าย เรื่องโควิดสายพันธุ์อินเดีย

สรุปให้เข้าใจง่าย เรื่องโควิดสายพันธุ์อินเดีย HealthServ.net

สรุปให้เข้าใจง่าย เรื่องโควิดสายพันธุ์อินเดีย ข้อมูลโดยนพ.ยง ภู่วรวรวรรณ นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา นพ.โอภาส พุทธเจริญ

สรุปให้เข้าใจง่าย เรื่องโควิดสายพันธุ์อินเดีย ThumbMobile HealthServ.net
สรุปให้เข้าใจง่าย เรื่องโควิดสายพันธุ์อินเดีย HealthServ

สรุปให้เข้าใจง่าย เรื่อง สายพันธุ์อินเดีย ดังนี้

  • สายพันธุ์ อินเดีย ที่แสดงในรูปเมื่อเช้านี้ เป็น B.1.617.2 ที่ระบาดมากในอินเดียและกระจายไปหลายประเทศ รวมทั้งอังกฤษ ยุโรป และในสหรัฐอเมริกา แม้กระทั่งประเทศไทย
  • สายพันธุ์นี้ดูตามหลักพันธุกรรมแล้ว สามารถแพร่กระจาย หรือติดต่อได้ง่าย จะติดต่อง่าย หรือง่ายกว่าสายพันธุ์อังกฤษ จึงจะทำให้เกิดการระบาดกว้างขวางขึ้นได้ (แค่สายพันธุ์อังกฤษ เราก็ลำบากพอสมควรแล้ว)
  • แต่สายพันธุ์อินเดียนี้  วัคซีนที่มีอยู่ในประเทศไทย สามารถป้องกันได้ 
  • จากการศึกษาในประเทศอังกฤษ สายพันธุ์อินเดียที่เข้าไประบาดในอังกฤษ ส่วนใหญ่จะเกิดในชุมชนที่มีการฉีดวัคซีนอัตราการครอบคลุมต่ำ
  • และจะพบมากในเด็กวัยรุ่นหรืออายุน้อยที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน มากกว่าผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนแล้ว
  • จากหลักฐานทางพันธุกรรม โดยเฉพาะตำแหน่งที่หลบหลีกภูมิต้านทานจากวัคซีน ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง 
การให้วัคซีนที่มีอยู่ในประเทศไทย สามารถป้องกันหรือลดความรุนแรงของสายพันธุ์อินเดียได้

ดังนั้นการจะยับยั้งการระบาดของสายพันธุ์นี้ได้ดีในขณะนี้ คือการให้วัคซีนให้เร็วที่สุด และให้หมู่มากที่สุด

ศจ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ
22 พค 64
สรุปให้เข้าใจง่าย เรื่องโควิดสายพันธุ์อินเดีย HealthServ

โควิต 19 สายพันธุ์อินเดีย

เป็นข่าวใหญ่ที่พบสายพันธุ์อินเดียระบาดในประเทศไทย

ก่อนหน้านี้ที่ศูนย์ก็พบสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 จากผู้เดินทางมาจากอินเดีย 8 คน ในสถานกักกัน ซึ่งจะไม่มีผลต่อการระบาดในประเทศไทย

เมื่อมีการพบสายพันธุ์อินเดีย ในประเทศไทยจึงจำเป็นที่จะต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่จะสร้างปัญหาใหญ่โต

สายพันธุ์ที่ระบาดอย่างรุนแรงในอินเดีย ประกอบไปด้วยสายพันธุ์อินเดียและ เบงกอล 

สายพันธุ์อินเดีย เป็นสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง และให้ความสำคัญ Variant of Concern (VOC) อีกสายพันธุ์หนึ่ง รวมทั้งสายพันธุ์อังกฤษ เพราะมีการแพร่กระจายได้ง่ายมาก อย่างรวดเร็ว

สายพันธุ์อินเดีย B.1.617 มี 3 กลุ่มย่อย คือ B.1.617.1, B.1.617.2,  B.1.617.3 ดังแสดงในรูป แต่สายพันธุ์ที่ระบาดมากในอินเดียและกระจายไปในประเทศต่างๆ เป็นจำนวนมากคือสายพันธุ์ B.1.617.2 

สายพันธุ์นี้ได้ระบาดไปถึงประเทศอังกฤษ ทำให้ทางอังกฤษต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ พบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะแพร่กระจายได้ง่าย 

จากข้อมูลในประเทศอังกฤษ มีการรายงานในข่าว Reuters พบว่าสายพันธุ์นี้แพร่กระจายได้ง่าย แต่ไม่น่าจะหลบหลีกภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีน (UK increasingly confident COVID-19 vaccines work against Indian variant)  โดยเฉพาะที่ใช้ในประเทศอังกฤษ ใช้วัคซีน AstraZeneca ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาในแนวลึก

ถ้าเราดูในหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ สายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้ง่ายจะมีการกลายพันธุ์ในส่วนของ Spike protein ดังนี้ D614G หรือที่เราเรียกว่าสายพันธุ์ G คือตำแหน่งที่ 614  มีการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโนจาก Aspartate ไปเป็น Glycine ทำให้สายพันธุ์นี้ครองโลกอยู่ขณะนี้

ตำแหน่ง N501Y มีการเปลี่ยนแปลงจาก Asparagine ไปเป็น tyrosine และทำให้จับกลับตัวรับบนผิวเซลล์ได้ดีขึ้น พบในสายพันธุ์อังกฤษ ที่ทำให้แพร่กระจายได้ง่ายขึ้น

ที่สำคัญอีกตำแหน่งหนึ่งคือตำแหน่ง 681 ในตำแหน่งนี้ทั่วไปกรดอะมิโนจะเป็น Proline จะเป็นตำแหน่งที่เอนไซม์ของร่างกายเราคือ furin ไปตัดแบ่ง spike protein หลังจากไวรัสได้เกาะกับเซลล์เรียบร้อยแล้ว ถ้าสามารถตัดได้ง่ายไวรัสก็จะมุดเข้าสู่เซลล์ได้ง่าย เพราะการเกาะติดและเข้าสู่เซลล์จะต้องมีการตัดส่วนของ Spike protein ให้แยกขาดออกจากกัน (S1 และ S2) เพื่อให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ ถ้ายิ่งตัดง่ายก็เข้าสู่เซลล์ได้ง่าย เกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าเปลี่ยนเป็น  กรดอะมิโนที่เป็นด่าง

จะเห็นว่าสายพันธุ์อินเดีย ต่างจากสายพันธุ์อื่นคือเป็น 681R ในตำแหน่งนี้เป็น Arginine ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่าง ทำให้เอนไซม์ Furin ตัดได้ง่ายขึ้นและ ง่ายที่จะเข้าสู่เซลล์หรือการติดเชื้อนั้นเอง

การเปลี่ยนแปลงที่จะหลบหลีกระบบภูมิต้านทานส่วนใหญ่ จะให้ความสำคัญอยู่ในตำแหน่งที่ 484  วัคซีนส่วนใหญ่ที่ทำมาจะเป็นสายพันธุ์ ในตำแหน่งนี้คือกรดอะมิโน Glutamic (E) แต่ถ้าเปลี่ยนไปเป็น K หรือ Lysine อย่างเช่นในสายพันธุ์แอฟริกาใต้ จะทำให้หลบหลีกระบบภูมิต้านทานที่จะทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง
เมื่อดูสายพันธุ์อินเดีย (B.1.617.2) ในตำแหน่งนี้ยังเป็น E ดังนั้นด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ วัคซีนที่ใช้อยู่น่าจะมีประสิทธิผลในการป้องกันได้ เช่นเดียวกันกับที่มีการพูดในอังกฤษผ่านสำนักข่าวออกมา

การแพร่กระจายได้ง่ายนี้เองทำให้ทั่วโลก จึงให้ความสำคัญและคำนึงถึงสายพันธุ์อินเดียมีการพยายามป้องกันอย่างเต็มที่ไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศของตัวเอง แต่ต้องยอมรับว่าการป้องกันสิ่งที่มองไม่เห็น สามารถทำได้ยาก ถ้าขาดระเบียบวินัย 

โดยสรุปสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 จะแพร่กระจายได้ง่าย จะง่ายเท่าสายพันธุ์อังกฤษหรือมากกว่าสายพันธุ์อังกฤษ ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน แต่สายพันธุ์นี้ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ วัคซีนที่เราใช้อยู่นี้ น่าจะป้องกันได้ 

อยากให้เด็กรุ่นใหม่สนใจวิทยาศาสตร์กันให้มาก การตอบปัญหาต่างๆจะใช้หลักวิทยาศาสตร์ และความจริงที่พิสูจน์ได้

ศจ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ
22 พค 64

ตั้งการ์ดสูงเพื่อระวังโรคโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย

โรคโควิด-19 มีการกลายพันธุ์หลายสายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์อังกฤษ แอฟริกาใต้ บราซิล ฟิลิปปินส์และอินเดีย จึงต้องระวังการแพร่ระบาดที่รุนแรงเป็นวงกว้าง และเกิดการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ต่อไป
เรื่อย ๆ โดยเฉพาะสายพันธุ์อินเดียที่เริ่มมีการพบในประเทศไทยแล้ว
 
ความกังวลต่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย
  • เชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดียมักแพร่กระจายลงสู่หลอดลมส่วนลึกและถุงลมซึ่งแตกต่างจากสายพันธุ์เดิมที่แพร่กระจายในโพรงจมูกและลำคอ
  • สามารถติดเชื้อได้เร็วขึ้นและแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น
  • เชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดียสามารถหลีกหนีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้
  • ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติไม่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดียได้ และต้องติดตามว่ากลับทำให้เกิดการอักเสบที่อันตรายต่อเนื้อเยื่อ และทุกระบบของร่างกายมากขึ้น

คำแนะนำจากแพทย์

จากสถานการณ์การพบผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียในประเทศไทยแล้วในขณะนี้ ดังนั้นควร
ป้องกันตนเองด้วยการเข้ารับวัคซีนโรคโควิด-19 โดยเร็ว เพื่อควบคุมสายพันธุ์ปกติ และมีวินัยการ์ดไม่ตก
ทั้งต่อบุคคลและสังคมอย่างเคร่งครัด
 
นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
21 พค 64


/////////////

สายพันธุ์อินเดีย B.1.617 (ความเห็นส่วนตัว) 

1.ไวรัสสายพันธุ์อินเดียที่ตรวจได้โดยศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิกโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ในคนที่เดินทางจากกลับจากปากีสถานเป็นสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.1 ซึ่งเป็นคนละสายพันธุ์กับสายพันธุ์ที่เป็นข่าวคือ B.1.617.2 ดังนั้นจึงไม่มีความเชื่อมโยงกัน 
 
2. ขณะนี้สายพันธุ์อินเดียมีสายพันธุ์ย่อยมีอย่างน้อย 3 สายพันธุ์คือ B.1.617.1 B.1.617.2 และ B.1.617.3 ทั้งหมดการระบาดหลักอยู่ที่อินเดีย เริ่มกระจายออกไปยังประเทศต่างๆ หลายประเทศจากการเดินทางของคน 
 
3. ไวรัสอินเดียแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะการกลายพันธุ์ที่แตกต่างกัน การกระจายเชื้อ ความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนอาจแตกต่างกัน อาจจะต้องดูว่าที่กำลังพูดถึงเป็นสายพันธุ์ย่อยอะไร 
 
4.ในอังกฤษพบการระบาดของสายพันธุ์ B.1.617.2 และจำนวนผู้ที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรวดเร็วในเมือง Bolton คาดการณ์ว่าการแพร่กระจายของไวรัสนี้ อาจจะติดได้ง่ายมากกว่าหรือเท่ากับสายพันธุ์  B.1.1.7(UK) ส่วนความรุนแรงของสายพันธุ์นี้ยังไม่มีข้อสรุป ข้อสังเกตคือส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือมีสิทธิ์แต่ไม่ไปรับ
 
5. ขณะนี้ข้อมูลเรื่องของประสิทธิภาพของวัคซีนต่อสายพันธุ์ B.1.617.2 จาก NHS คาดว่ายังตอบสนองต่อวัคซีน (รอการศึกษาของมหาวิทยาลัย Oxford) แต่ในอังกฤษส่วนใหญ่ใช้วัคซีน Astra Zeneca และ mRNA vaccine ตรงนี้ยังต้องติดตามรายละเอียดและข้อมูลวัคซีนอื่น 
 
6. แม้ว่าไวรัสมีการกลายพันธุ์แต่การตรวจในปัจจุบันเทคนิค PCR ได้ออกแบบให้ตรวจหาหลายๆตำแหน่งของไวรัสพร้อมๆกัน ยังไม่มีรายงานว่าการตรวจโดยเทคนิคนี้จะเป็นประเด็นเรื่องทำให้วินิจฉัยไม่ได้ เพราะการตรวจในต่างประเทศก็ยังใช้เทคนิคนี้จากการทำ swab
 
7. มาตรการควบคุมการระบาดและอัตราการฉีดวัคซีนต่องเร่งให้ทันเพื่อแข่งกับการแพร่กระจายของไวรัสบวกกับการกลายพันธุ์ เราจะเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีก

นพ.โอภาส พุทธเจริญ
21 พค 64
สรุปให้เข้าใจง่าย เรื่องโควิดสายพันธุ์อินเดีย HealthServ
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด