ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

คณบดีศิริราช เผยวัคซีนสลับชนิดไม่มีข้อห้าม ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 2 ระบบ

คณบดีศิริราช เผยวัคซีนสลับชนิดไม่มีข้อห้าม ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 2 ระบบ HealthServ.net

ทั้ง B Cells และ T Cells ได้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้นสู้สายพันธุ์เดลตาได้ในเวลาเร็วขึ้นภายใน 5 สัปดาห์

คณบดีศิริราช เผยวัคซีนสลับชนิดไม่มีข้อห้าม ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 2 ระบบ ThumbMobile HealthServ.net
คณบดีศิริราชเผยการฉีดวัคซีนโควิด 19 สลับชนิดไม่มีข้อห้าม หากไม่แพ้วัคซีน กลุ่มผู้สูงอายุ 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์เกิน 12 สัปดาห์สามารถฉีดได้ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันทั้ง 2 ระบบ ทั้ง B Cells และ T Cells ได้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้นสู้สายพันธุ์เดลตาได้ในเวลาเร็วขึ้นภายใน 5 สัปดาห์ ระหว่างรอวัคซีนรุ่น 2 ที่คาดว่าจะมีในปีหน้า
 
         วันนี้ (21 กรกฎาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี  ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงข่าวการฉีดวัคซีนโควิด 19 สลับชนิด ว่า วัคซีนโควิด 19 มี 4 ชนิด คือ mRNA เชื้อตาย ไวรัลเวคเตอร์ และโปรตีนซับยูนิต โดยวัคซีนชนิดเชื้อตายและโปรตีนซับยูนิต มีกลไกสำคัญคือสร้างภูมิคุ้มกันโดยกระตุ้นเม็ดเลือดขาวกลุ่ม B cells ที่จะสร้างแอนติบอดีออกมาในกระแสเลือด และป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าไปติดเชื้อในเซลล์ ส่วนชนิด mRNA และไวรัลเวคเตอร์มีกลไกสร้างภูมิคุ้มกันทั้งสองอย่างคือกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิด T cells ที่จะไปฆ่าเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและกระตุ้นเม็ดเลือดขาวกลุ่ม B cells ให้สร้างแอนตี้บอดี้
 
        ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวต่อว่า การฉีดวัคซีนสลับชนิด โดยเข็ม 1 เป็นชนิดเชื้อตายที่กระตุ้น B cells ได้ดี แต่กระตุ้น T cellsไม่ดีนัก และปรับเอาวัคซีนที่กระตุ้น T cells ได้ดีคือไวรัลเวคเตอร์มาฉีดเป็นเข็มที่ 2 จึงกลายเป็นให้ฉีดด้วยซิโนแวค เว้น 3 สัปดาห์แล้วฉีดด้วยแอสตร้าเซนเนก้า โดย 2 สัปดาห์หลังฉีดแอสตร้าเซนเนก้า ภูมิคุ้มกันจะขึ้นสูง รวมใช้เวลา 5 สัปดาห์ ซึ่งข้อมูลวิจัยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า ภูมิคุ้มกันสูงพอน่าจะครอบคลุมสายพันธุ์เดลตา ขณะที่การศึกษาในต่างประเทศพบว่ามีประสิทธิภาพและความปลอดภัย ส่วนการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม แม้กระตุ้นทั้ง T cells และ B cells แต่ใช้เวลานาน เนื่องจากเว้นระยะห่างระหว่างเข็ม 10-12 สัปดาห์ และใช้เวลาอีก 2 สัปดาห์ภูมิคุ้มกันจึงขึ้นสูง โดยรวมต้องใช้เวลา 12-14 สัปดาห์ ขณะที่การฉีดแอสตร้าเซนเนก้าเข็มเดียว ข้อมูลจากต่างประเทศพบว่าไม่พอในการลดการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา และหากระยะเวลาระหว่างเข็ม 1 และเข็ม 2 ของแอสตร้าเซนเนก้า ยิ่งสั้นประสิทธิภาพจะยิ่งน้อยลง
 
        "ขณะนี้โควิดสายพันธุ์เดลตาแพร่กระจายเร็วมาก ครอบคลุมทุกทวีป ทำให้ผู้ติดเชื้อทั่วโลกกลับมาเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่การเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากวัคซีนช่วยลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิต ส่วนประเทศไทยสายพันธุ์เดลตาพบมากถึงกว่าร้อยละ 50 ของการติดเชื้อการฉีดวัคซีนจะลดความรุนแรงและเสียชีวิต และจะช่วยลดการติดเชื้อหากมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนมากพอ ซึ่งการฉีดวัคซีนให้มากนั้น มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ ต้องมีวัคซีนมากพอ บริหารจัดการการฉีดให้มีประสิทธิภาพมากพอ เช่น ฉีดให้ได้ 3-4 แสนโดสต่อวัน และมีผู้มารับการฉีด ดังนั้นเมื่อมีการจัดสรรวัคซีนให้แล้ว ขอให้มารับการฉีดวัคซีนด้วย" ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว
 
       ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า การฉีดวัคซีนสลับชนิดนี้ ไม่ได้มีรายงานภาวะแทรกซ้อนที่แตกต่างจากการฉีดวัคซีนชนิดเดียวกัน ส่วนการฉีดวัคซีนกระตุ้นในบุคลากรทางการแพทย์ที่รับซิโนแวค 2 เข็ม อยู่บนหลักการเดียวกัน คือ กระตุ้นด้วยวัคซีนต่างชนิดคือแอสตร้าเซนเนก้าที่ช่วยกระตุ้น T cells สำหรับวัคซีนรุ่น 2 รองรับการกลายพันธุ์ ประเทศไทยกำลังเจรจา ซึ่งอย่างเร็วอาจจะมาปีหน้า จึงเป็นอีกเหตุผลในการปรับสูตรการฉีดวัคซีนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้คนไทยปลอดภัยระหว่างรอวัคซีนรุ่น 2
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด