ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

ผลศึกษายัน วัคซีนเข็มกระตุ้น กันติดโอมิครอน-กันตายได้สูง

ผลศึกษายัน วัคซีนเข็มกระตุ้น กันติดโอมิครอน-กันตายได้สูง HealthServ.net
ผลศึกษายัน วัคซีนเข็มกระตุ้น กันติดโอมิครอน-กันตายได้สูง ThumbMobile HealthServ.net

จากประสิทธิผลวัคซีนโควิด-19 การฉีดเข็มสามช่วยป้องกันติดเชื้อโอมิครอนได้ 68% ป้องกันเสียชีวิตยังสูงถึง 96% และจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 วันนี้ ทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และส่วนใหญ่ไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับนานแล้ว ไม่มีภูมิป้องกันได้ เน้นย้ำให้ประชาชนรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเมื่อถึงกำหนด


 
          วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา และนพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 และผลการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนโควิด 19 จากการใช้จริง


 
           นพ.จักรรัฐกล่าวว่า สถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลกเริ่มลดลงจาก 2 สัปดาห์ก่อน โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่ทางเอเชียมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งอาจมีการแพร่เข้ามาทางชายแดนไทยได้จึงต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง

ส่วนประเทศไทย วันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อ 10,470 ราย จากค่าเฉลี่ยผู้ติดเชื้อในรอบ 7 วัน ถือว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ผู้ป่วยอาการหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตยังคงตัว ทั้งนี้ ยังพบการติดเชื้อในลักษณะกลุ่มก้อน ทั้งในชุมชน ครอบครัว และสถานที่เสี่ยงต่างๆ

โดยปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อมาจากการสัมผัสใกล้ชิด ติดจากคนในครอบครัว เพื่อนที่ทำงาน 47.3% และสถานที่เสี่ยง 48% จึงยังคงเตือนภัยโควิด 19 ในระดับ 4 ขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงเข้าสถานที่เสี่ยง คือ สถานที่ปิดระบายอากาศไม่ดี สถานที่รวมกลุ่มคนทำกิจกรรมต่างๆ โดยพื้นที่ที่ยังมีการติดเชื้อสูง คือ กทม.ปริมณฑล และจังหวัดนำร่องท่องเที่ยว
 
 
           จากข้อมูลการติดเชื้อในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า การติดเชื้อในเด็กอายุ 0-9 ปี และ 10-19 ปี มีแนวโน้มสูงขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลการระบาดในสถานศึกษาขณะนี้ ซึ่งกลุ่มนักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีอาการอย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้ปกครองพาเด็กไปรับวัคซีน โดยสามารถรับวัคซีนไฟเซอร์ได้ในกลุ่มอายุ 5 ปีขึ้นไป และวัคซีนซิโนแวค/ซิโนฟาร์มในกลุ่มอายุ 6 ปีขึ้นไป


           ส่วนผู้เสียชีวิตวันนี้ 12 ราย ทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ส่วนใหญ่ไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือฉีดครบสองเข็มมาเป็นเวลานาน และไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ดังนั้น ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 จึงควรมารับวัคซีนทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้นตามกำหนด เพื่อลดความเสี่ยงอาการรุนแรงและเสียชีวิต

 


ข้อมูลการใช้จริงของวัคซีนโควิด-19 ในไทย

           ด้าน นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวว่า จากข้อมูลการใช้จริงของวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย ได้มีการศึกษาระดับประเทศในผู้สัมผัสเสี่ยงสูงช่วงเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2564 โดยเปรียบเทียบระหว่างผู้ติดเชื้อกับผู้ไม่ติดเชื้อ ทั้งประวัติการฉีดวัคซีนและอาการที่เกิดขึ้น พบว่าภาพรวมผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม มีประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อได้ 65% ป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ 88% ซึ่งการประเมินประสิทธิภาพรายเดือนพบว่า เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงธันวาคม ประสิทธิผลการป้องกันติดเชื้อลดลงเหลือเพียง 50% แต่การป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตลดลงไม่มาก ยังสูงที่ 79% ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 พบประสิทธิผลสูงขึ้นกว่า 2 เข็ม โดยป้องกันการติดเชื้อได้สูง 94% ป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ 98%


 
           สำหรับการศึกษาประสิทธิผลการใช้จริงในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ช่วงตุลาคม-ธันวาคม 2564 ที่เป็นการระบาดของสายพันธุ์เดลตา และช่วงเดือนมกราคม 2565 ที่มีการระบาดของโอมิครอน พบว่า การฉีดวัคซีน 2 เข็ม ช่วงตุลาคม-ธันวาคม 2564 ป้องกันการติดเชื้อได้ 71% ป้องกันการเสียชีวิตได้ 97% แต่พอเดือนมกราคม 2565 พบว่าไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อโอมิครอนได้ แต่ยังป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 89%


           สำหรับการฉีดเข็ม 3 ช่วงตุลาคม-ธันวาคม 2564 ป้องกันการติดเชื้อได้ 93% และป้องกันการเสียชีวิตได้ 99% ส่วนมกราคม 2565 การป้องกันการติดเชื้อลดลงเหลือ 68% และป้องกันการเสียชีวิตได้  96% ทั้งนี้การฉีดเข็ม 3 ด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา พบว่าประสิทธิผลดีไม่แตกต่างกัน

           ดังนั้น ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 3 เดือน จึงควรรีบมาฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าหรือไฟเซอร์ก็ได้โดยเร็ว ร่วมกับการใช้มาตรการต่างๆ

           ทั้งการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา COVID Free Setting การเว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่ปิดอับระบายอากาศไม่ดี คนหนาแน่น และตรวจ ATK เมื่อมีความเสี่ยง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติต่อไป
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด