ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

5 วิธีขับขี่ให้ประหยัด สู้วิกฤตน้ำมันแพง

5 วิธีขับขี่ให้ประหยัด สู้วิกฤตน้ำมันแพง HealthServ.net

จากความขัดแย้งในประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ส่งผลให้เกิดวิกฤตน้ำมันแพง ที่สำคัญวิกฤตนี้อาจเป็นวิกฤตต่อเนื่องต่อไปในอนาคต กรมการขนส่งทางบกจึงเชิญชวนประชาชนชาวไทยหันมาเปลี่ยนวิถีชีวิต วิถีการขับขี่ยานยนต์ เพื่อประหยัดพลังงานสู้วิกฤตกัน

5 วิธีขับขี่ให้ประหยัด สู้วิกฤตน้ำมันแพง ThumbMobile HealthServ.net

นอกจากช่วยประหยัดโดยตรงแล้ว ยังได้ประโยชน์อีกหลายประการ ทั้ง ลดภาระค่าใช้จ่าย ยืดอายุการใช้งานรถยนต์ ลดมลพิษทางอากาศ


กรมการขนส่งทางบกขอแนะนำ 5 วิธีขับขี่ ที่จะช่วยประหยัดพลังงาน ลดภาระค่าใช้จ่าย และเป็นวิธีง่ายๆ ที่เจ้าของรถสามารถทำได้ทันที ดังนี้ 
 
 
5 วิธีขับขี่ให้ประหยัด สู้วิกฤตน้ำมันแพง HealthServ
        1. ควรใช้ความเร็วคงที่ประมาณ 80 - 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เนื่องจากช่วงความเร็วนี้ ทำให้เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพในการเผาผลาญเชื้อเพลิงได้ดีที่สุด ทั้งนี้ ควรใช้เกียร์ที่เหมาะสมเพื่อมิให้รอบเครื่องยนต์สูงเกินไป 
 
 
        2. ไม่ควรเบิ้ล กระชาก ลากเครื่องยนต์ เนื่องจากการเร่งเครื่อง การเหยียบคันเร่งจนมิด จะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงถูกฉีดเข้าห้องเผาไหม้มากยิ่งขึ้น นอกจากสิ้นเปลืองแล้ว น้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเกินจะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์เกิดเป็นมลพิษ หรือในกรณีเครื่องยนต์ดีเซลก็จะทำให้เกิดควันดำ เพิ่มปริมาณฝุ่น PM2.5 ในอากาศอีกด้วย ดังนั้น การค่อยๆ เหยียบคันเร่ง ขับรถให้นิ่มนวล ใช้ความเร็วสม่ำเสมอจะช่วยประหยัดน้ำมันทันทีตั้งแต่ช่วงที่ออกตัว

 
        3. ไม่ควรเร่งรถหรือเบรกกะทันหัน การเร่งความเร็วบ่อยครั้งและเบรกอย่างหนักเป็นการกระตุ้นให้เครื่องยนต์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น เพิ่มอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทั้งคนขับรถและผู้ใช้รถใช้ถนนอีกด้วย ดังนั้น ผู้ขับจะต้องหมั่นคาดการณ์สภาพจราจรด้านหน้าและรอบข้างตลอดเวลาที่ขับรถ เมื่อรถข้างหน้าหยุดหรือมีสิ่งกีดขวาง ควรค่อยๆ ชะลอความเร็วก่อนหยุด และเมื่อสภาพการจราจรด้านหน้าสะดวกจึงค่อยๆ เร่งความเร็วรถอย่างต่อเนื่อง การขับลักษณะนี้ นอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังจะช่วยรักษาสภาพเครื่องยนต์ ล้อยาง และผ้าเบรกให้สึกหรอน้อยลงอีกด้วย

 
        4. เติมลมยางตามกำหนดที่คู่มือรถแนะนำ การเติมลมยางจะช่วยลดการเผาผลาญน้ำมัน เพราะหากลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้หน้ายางบดกับพื้นถนนและเกิดแรงต้านมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น และสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม การเติมลมยางแข็งเกินไปแม้ว่าจะช่วยลดแรงต้านของยาง แต่ก็จะทำให้การยึดเกาะถนนน้อยลง ดังนั้น จึงควรเติมลมยางตามที่คู่มือกำหนดและหมั่นตรวจเช็กลมยางด้วย 

 
        5. บรรทุกสัมภาระเท่าที่จำเป็น การบรรทุกน้ำหนักมากจะส่งผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของรถ ดังนั้น หากมีสัมภาระที่ไม่จำเป็นก็ควรจะนำออกจากรถซึ่งนอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันน้อยลงแล้วยังทำให้รถสะอาดเรียบร้อยอีกด้วย  


 

  เจ้าของรถควรหมั่นตรวจเช็กสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ ให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสามารถตรวจเช็กรถเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง หรือนำรถเข้าศูนย์บริการให้ช่างที่มีความชำนาญดำเนินการ โดยควรหมั่นทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง กรองน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาหรือเปลี่ยนเร็วกว่ากำหนดสำหรับรถที่ใช้งานหนัก เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ผู้ผลิตรถกำหนด ตรวจเช็กและปรับตั้งหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นละอองและมีแรงดันตามที่ผู้ผลิตกำหนด ปรับตั้งปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงและตั้งจังหวะการฉีดเชื้อเพลิงให้ถูกต้อง เพื่อยืดเวลาการใช้งานรถยนต์ออกไปให้ยาวขึ้น ซึ่งวิธีการต่างๆ เหล่านี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการค่าบำรุงรักษารถและลดค่าเชื้อเพลิงให้กับเจ้าของรถได้อีกทางหนึ่ง ทั้งยังช่วยลดมลพิษทางอากาศอีกด้วย
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด