ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

ไวรัสตับอักเสบบีในสตรีตั้งครรภ์

ไวรัสตับอักเสบบีในสตรีตั้งครรภ์ HealthServ.net
ไวรัสตับอักเสบบีในสตรีตั้งครรภ์ ThumbMobile HealthServ.net

สตรีที่ตั้งครรภ์และมีภาวะตับอักเสบบีเรื้อรัง คือตรวจเลือดพบไวรัสตับอักเสบบีในกระแสเลือด มีความสำคัญคือ มีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกที่เกิดออกมาได้ และทำให้ลูกเป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรังในภายหลังได้มาก ถ้าไม่มีการป้องกัน และเคยมีการสำรวจในประเทศไทยพบสตรีตั้งครรภ์เป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรังอยู่ถึง 8-10 % และพบว่าคนในแถบเอเชียก็เป็นกันมากเหมือนๆกัน การถ่ายทอดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากมารดาไปสู่ทารก มีความสำคัญมาก อ่านรายละเอียดเพื่อความรู้และการป้องกันได้ที่นี่ค่ะ

โรคไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคที่พบบ่อยในประเทศไทย เมื่อเป็นแล้วบางคนมีอาการน้อยคล้ายเป็นไข้หวัดธรรมดา บางคนมีอาการมาก ที่สังเกตได้คือตาเหลือง ตัวเหลือง อ่อนเพลียมาก ปัสสาวะสีเข้ม ที่มีอาการมากๆเป็นเพราะตับถูกทำลายมาก อาจถึงเสียชีวิตได้ ถ้าไม่เสียชีวิตบางส่วนที่มีอาการดีขึ้นก็จะมีการสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย บางส่วนก็กลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง มีเชื้อไวรัสอยู่ในเนื้อตับและออกมาในกระแสเลือดอยู่ตลอดเวลา บุคคลที่เป็นภาวะตับอักเสบเรื้อรังบางทีเรียกทั่วๆไปว่าเป็นพาหะของโรค จริงๆก็คือมีการอักเสบของตับตลอดเวลา อาจมีอาการเป็นซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือไม่มีอาการเลยก็ได้ บุคคลเหล่านี้มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้สูงกว่าคนไม่มีเชื้อถึงกว่า200เท่า

ตับอักเสบขณะตั้งครรภ์

สตรีที่ตั้งครรภ์และมีภาวะตับอักเสบบีเรื้อรัง คือตรวจเลือดพบไวรัสตับอักเสบบีในกระแสเลือด มีความสำคัญคือ มีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกที่เกิดออกมาได้ และทำให้ลูกเป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรังในภายหลังได้มาก ถ้าไม่มีการป้องกัน และเคยมีการสำรวจในประเทศไทยพบสตรีตั้งครรภ์เป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรังอยู่ถึง8-10 %และพบว่าคนในแถบเอเชียก็เป็นกันมากเหมือนๆกัน คนที่เป็นพาหะสามารถแพร่เชื้อไปที่คนอื่นได้ด้วย คนไทยที่เป็นผู้ใหญ่และไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันเลย พบว่ามีโอกาสติดเชื้อถึง50%แต่ส่วนใหญ่จะสร้างภูมิต้านทานได้เองมีส่วนน้อยกลายเป็นเรื้อรังหรือเป็นพาหะ แหล่งแพร่เชื้อคือ คนที่กำลังเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี ทั้งที่เป็นเฉียบพลันและเรื้อรัง ติดต่อทางสารคัดหลั่ง เช่น น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำอสุจิ และเลือด และการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก

การถ่ายทอดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากมารดาไปสู่ทารก มีความสำคัญมากเพราะทารกที่ติดเชื้อจากมารดาที่เป็นพาหะมักไม่มีอาการแต่จะกลายเป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรังต่อไป ถ้าแม่มีอาการตับอักเสบบีเฉียบพลันขณะตั้งครรภ์ มีโอกาสติดไปที่ลูกมากกว่าที่เป็นเรื้อรังหรือพาหะธรรมดา

การติดต่อโรคของลูกจากแม่ เชื่อว่าเกิดจากได้รับเชื้อจากเลือดของแม่ขณะคลอดหรือหลังคลอด ซึ่งมีการตรวจพบเชื้อไวรัสบี (HbsAg )ได้ภายใน6สัปดาห์หลังคลอด จากการศึกษาพบว่าทารกแรกคลอดมีโอกาสติดเชื้อได้35-80%

จะทราบอย่างไรว่าตัวเองเป็นพาหะตับอักเสบบีและติดไปถึงลูกได้

จะทราบได้โดยการตรวจเลือดพบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (AbsAg)และถ้าตรวจพบว่ามีสารที่เรียกHbeAgก็จะติดไปยังลูกได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม การตรวจพบว่าตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในกระแสเลือดแม่ขณะตั้งครรภ์ก็มีโอกาสทำให้ลูกที่คลอดออกมาติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ และส่วนใหญ่ของทารกที่ติดเชื้อจะเป็นแบบเรื้อรังคือมีภาวะเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีในภายหลัง

ถ้าแม่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีจะป้องกันลูกที่เกิดมาได้อย่างไร

เนื่องจากทารกที่คลอดจากแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีการติดเชื้อจากแม่ในอัตราที่สูงและมีโอกาสเป็นโรคแบบเรื้อรังสูงด้วย จึงมีการทำการป้องกันโดยฉีดสารภูมิต้านทานให้ลูกภายใน24ชั่วโมงหลังคลอด

เพื่อให้ลูกมีภูมิเกิดขึ้นเลยทันที ในขณะเดียวกัน ก็ฉีดวัคซีนเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานได้เองในภายหลังด้วย โดยฉีดเมื่อแรกคลอด, 1เดือน, 2เดือน, 6เดือน และ12เดือนตามลำดับ

ถ้าให้วัคซีนในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์จะมีผลเสียต่อทารกในครรภ์หรือไม่

ปัจจุบันยังไม่พบมีอันตรายต่อเด็กในครรภ์ สามารถฉีดได้3ครั้ง เหมือนคนทั่วไป คือ ครั้งแรก ต่อไปอีก1เดือนและ6เดือนตามลำดับ ทั้งนี้หมายความถึงคนที่ไม่มีเชื้อเป็นพาหะและยังไม่มีภูมิต้านทานอยู่

ปัจจุบันได้มีการรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีให้กับเด็กแรกเกิดตามแผนการให้วัคซีนเด็กทุกคนเหมือนกับการป้องกันโรคอื่นๆด้วย

ข้อเขียนโดยนพ.ธีรศักดิ์ธำรงธีระกุล
ด้วยความปรารถนาดีจาก
แผนกสูติ-นรีเวช
รพ.วิภาวดี โทร.0-2941-2800กด1

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด