ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

รู้จักน้ำมันทำอาหารแต่ละชนิด

รู้จักน้ำมันทำอาหารแต่ละชนิด HealthServ.net
รู้จักน้ำมันทำอาหารแต่ละชนิด ThumbMobile HealthServ.net

น้ำมันทำอาหารที่แพร่หลายในประเทศไทย มีมากมายหลายประเภท ตั้งแต่ น้ำมันปาล์ม น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง ฯลฯ แต่ละชนิดมีลักษณะอย่างไร เหมาะกับอาหารแบบไหน ฟังผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลกันสักหน่อย

น้ำมันทำอาหารแต่ละชนิด
 
1. น้ำมันหมู เป็นน้ำมันสัตว์ มีสัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัวสูง ~ 40% MUFA > PUFA ทนความร้อนได้ดี ใช้ทอด อาหารจะหอม อร่อย ราคาไม่แพง แต่ให้ระวังไว้ว่าการใช้น้ำมันหมูประกอบอาหารมีโอกาสที่ให้ไขมันในเลือดสูงขึ้นได้ง่ายกว่าการใช้น้ำมันพืช ปีที่แล้วมีข่าวโจมตีน้ำมันพืชและอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันพืชของต่างประเทศ และ รณรงค์ให้หันมาใช้น้ำมันหมู แต่การศึกษาวิจัยทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ ยังคงยืนยันว่าการบริโภคกรดไขมันอิ่มตัวมีผลเพิ่มระดับ LDL ในเลือดจริง
 
2. น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันพืชที่มีสัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัวสูงกว่าน้ำมันหมูอีก 88 - 90% ทนความร้อนได้น้อย มีจุดเกิดควันต่ำ ราคาถูก ไม่ค่อยนิยมนำมาปรุงอาหารเท่าไหร่ ระยะหลังมีข่าวรณรงค์ว่าน้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันที่มีประโยชน์มากคือ กรดคาไพรลิกและกรดคาปริก ซึ่งเป็นกรดไขมันอิ่มตัวที่ดูดซึมได้ง่าย แต่มีในสัดส่วนที่น้อยมากครับในน้ำมันมะพร้าวที่วางขายในท้องตลาด ค่อนข้างอันตรายสำหรับหัวใจครับ ผมไม่แนะนำ รายละเอียดเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวทางเพจอายุรศาสตร์ง่ายนิดเดียวเขียนเอาไว้ได้ดีมาก ลองแวะไปอ่านกันได้
 
3. น้ำมันปาล์ม หรือ น้ำมันขวัญใจคนจน เป็นน้ำมันพืชที่มีสัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัวสูงพอๆกับน้ำมันหมูแต่น้อยกว่าน้ำมันมะพร้าว SFA > MUFA > PUFA ราคาถูก จุดเกิดควันสูง ทอด กรอบได้ แต่ไม่อร่อยเลย น้ำมันหมูอร่อยกว่าเยอะ 
 
4. น้ำมันถั่วเหลือง หรือ น้ำมันมหาชน เป็นน้ำมันที่เราเห็นในโฆษณามากที่สุด ใช้กันในครัวเรือนยุคปัจจุบันมากที่สุด มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อยมาก ~ 15% PUFA > MUFA > SFA จุดเกิดควันสูง ทำอาหารประเภท ทอด หรือ ใช้ไฟแรงได้ ทิ้งไว้ในตู้เย็นไม่เป็นไข แต่กลิ่นแรง ต้องเอาไปทอด หรือ ผัด เท่านั้น บางคนบอกใช้เป็นน้ำสลัดได้ แต่ผมว่ากลิ่นก็ยังแรงเกินไปอยู่ดี น้ำมันถั่วเหลืองผมยังคงแนะนำใช้ในการประกอบอาหาร
 
5. น้ำมันรำข้าว หรือ น้ำมันคนรวย กลิ่นหอม ราคาแพง กรดไขมันอิ่มตัวต่ำ ~ 20% MUFA > PUFA > SFA จุดเกิดควันสูงที่สุดในกลุ่ม ทนความร้อนได้สูง แถมกลิ่นหอมขึ้นเมื่อโดนความร้อน ผมแนะนำให้ใช้สลับกับน้ำมันถั่วเหลือง เพื่อให้ได้ทั้ง PUFA และ MUFA ไปด้วยกัน
 
6. น้ำมันคาโนลา หรือ น้ำมันเรปซีด มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อยที่สุดในกลุ่ม ~ 6% MUFA > PUFA > SFA จุดเกิดควันสูงพอตัว ทนความร้อนได้ดี ผัด ทอด ทำน้ำสลัดได้หมด แต่ราคาแพง และไม่หอมมากเท่าน้ำมันรำข้าว ผมแนะนำให้มีติดครัวไว้สลับใช้บ้างก็ได้ 
 
7. น้ำมันดอกทานตะวัน ฉายา ดีแต่หืนง่าย มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อย ~ 11% PUFA > MUFA > SFA จุดเกิดควันสูงแต่มักนิยมใช้ทำขนมเค้กมากกว่า 
 
8. น้ำมันถั่วลิสง หรือ น้ำมันไชน่าทาวน์ แต่ก่อนหาซื้อยากมากต้องไปเยาวราช กรดไขมันอิ่มตัวต่ำ ~ 20% MUFA > PUFA > SFA ราคาปานกลาง แต่หาซื้อยากมากกว่า จุดเกิดควันสูงพอตัว ผัด ทอด ได้หมด แต่ทำน้ำสลัดจะมีกลิ่นถั่ว ไม่หอมนะครับ แต่แปลกมากผัดอาหารแล้วมันอร่อยบอกไม่ถูก ผมแนะนำให้มีไว้ติดครัวครับ ปลอดภัยด้วย
 
9. น้ำมันมะกอก หรือ เจ้าแห่งน้ำสลัด มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อย ~ 14% มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในสัดส่วนที่สูงที่สุดในกลุ่ม ~ 70% MUFA > PUFA > SFA จุดเกิดควันต่ำ กลิ่นแรง นอกจากทำน้ำสลัด ถ้ารับกลิ่นได้ สามารถนำมาผัดไฟอ่อนได้บ้าง
 
(ข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารและตับ) ศูนย์โรคปวดท้อง
 ด้วยความห่วงใย จาก โรงพยาบาลสินแพทย์ โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์ 0-2793-5000
ปวดท้องทนทำไมไปสินแพทย์
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด