ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

จากท้องถึงหัว..ตัดสินชะตาสมองเสื่อม - หมอดื้อ

จากท้องถึงหัว..ตัดสินชะตาสมองเสื่อม - หมอดื้อ

หมอได้นำเรียนมาตลอดนะครับว่าคนเราเกิดมามีชะตาชีวิตกำหนดไว้แล้วด้วยรหัสพันธุกรรม และผลของชะตาจะปรากฏออกมาได้ชัดเจน เห็นได้ชัดและเกิดได้เร็วเพียงใดในช่วงชีวิต ยังมีตัวการที่สำคัญ ที่เราสามารถควบคุมได้ และผ่อนคลายทำให้มีการบรรเทาเบาบางลงไป
 
ทั้งนี้ โดยที่ครอบครัวของคนที่มีโรคอาจจะได้รับมรดกเหล่านี้ทางด้านสมองเสื่อมแบบต่างๆ ไปไม่มากก็น้อยแต่สามารถที่จะปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคเหล่านี้ได้
 
โรคสมองเสื่อมที่พูดในขณะนี้ไม่ว่าจะเสื่อมในด้านความจำแบบอัลไซเมอร์ และคณะ (ที่มีชื่ออื่นๆอีก) โรคพาร์กินสันและคณะ และความเสื่อมในระบบประสาทอื่นๆ เช่นในไขสันหลัง ขณะนี้ถือว่าเกิดจากต้นตอเดียวกัน คือการที่มีโปรตีนบิดเกลียว จึงเรียกว่า misfolded protein
 
และเกิดจากความไม่เสถียรสมดุลของการควบคุมการสร้าง การบริหารจัดการ และการขับถ่ายหมุนเวียนโปรตีน เลยทำให้เกิดความผิดปกติของระบบ proteostasis และแน่นอนมีการอักเสบมาเป็นตัวแปรที่สำคัญทำให้โรคสมองเสื่อมทั้งหลายเหล่านี้ ถือเป็น neuroinflammatory disease
 
การที่เราจะปฏิเสธไม่รับมรดก คงทำไม่ได้แต่อาจจะเปิดพินัยกรรมช้าหน่อยหรือแม้ใครที่มีโรคโผล่ออกมาแล้ว ก็สามารถชะลอโรคได้จากคำกล่าวที่ว่า “เรากินอะไรก็ได้อย่างนั้น” และในปัจจุบันคงต้องควบรวมไปถึงว่า “เราหายใจอะไรเข้าไปก็ได้เช่นนั้น” นั่นคือ มลภาวะสารเคมีทั้งหลายในอาหาร ในน้ำดื่ม ในอากาศที่มีสารเคมี มีสารที่มาจากขยะปนเปื้อน ล้วนเป็นตัวร้ายที่ทำให้เกิดการอักเสบ
 
เป็นที่พิสูจน์แล้วว่าการอยู่ในช่วงที่มีอากาศที่มีมลพิษขนาดจิ๋ว 2.5 ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อให้เกิดการสะสมตัวของโปรตีนบิดเกลียวเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและการอักเสบเป็นตัวนำให้เกิดเส้นเลือดในหัวใจและสมองตัน และมะเร็งอีกด้วย
 อาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบคือ อาหารแป้งมากน้ำตาล อาหารหวาน เนื้อแดงจากสัตว์ที่เดินบนบก ทั้งนี้เนื้อที่มีการหมักปรุงรสหรือทำให้เก็บได้นานและแม้กระทั่งเนื้อไก่ก็ยังอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย และนำไปสู่การที่ต้องเข้าใกล้มังสวิรัติที่หนักผักผลไม้ กากใยที่กินทั้งชิ้น และปลอดสารเคมี หนักถั่ว แต่ถั่วเหลืองได้ในปริมาณที่ไม่มากนัก กุ้ง ปู ปลาได้ หอยไม่ควรมากนัก บุหรี่ห้ามขาด เหล้าในปริมาณเพื่อสุขภาพ แต่ถ้าเข้าใกล้มังสวิรัติก็สามารถกินไข่แดงได้หลายลูกต่อวัน
 
อาหารเหล่านี้ที่ต้องห้าม ถูกปรับเปลี่ยนโดยแบคทีเรียในลำไส้ ก่อให้เกิดการอักเสบเข้าไปในกระแสเลือดและซึมผ่านเข้าเส้นเลือดสมองและเข้าในเซลล์สมอง เกิดการปะทุอักเสบครั้งที่สองในเซลล์สมองและกระตุ้นให้มีการสร้างโปรตีนบิดเกลียวเหล่านี้มากขึ้นไปอีก
 
นอกจากนั้นการอักเสบ ยังกระตุ้นเซลล์ในลำไส้ ให้มีการสร้างโปรตีนบิดเกลียวเหล่านี้ขึ้นไปตามเส้นประสาท เบอร์ 10 และเข้าสู่สมอง และมลพิษในอากาศอาจจะเป็นเครื่องอธิบายที่พบโปรตีนผิดปกติเหล่านี้ในเส้นประสาทสมองเส้นที่หนึ่ง ที่กระจายในเนื้อเยื่อของโพรงจมูก และในที่สุดก็ขึ้นไปในสมองในที่สุด
 
เมื่อโรคปรากฏตัวขึ้นแล้ว ส่วนประกอบในอาหารที่มีประโยชน์ เช่น น้ำมันปลา ที่มี EPA DHA จะเริ่มหมดสภาพ ทั้งนี้ เนื่องจากน้ำมันปลาที่ได้จากอาหารจะต้องถูกเปลี่ยนโดยตับ เป็นน้ำมันปลาจิ๋ว ที่เรียกว่า plasmalogen และจากนั้นน้ำมันจิ๋วนี้จะส่งผ่านเข้าเส้นเลือดในสมองเข้าไปในเนื้อสมองและเข้าไปที่ผิวเซลล์และในเซลล์ชนิดต่างๆในสมอง แต่เมื่อโรคปรากฏให้เห็นแล้ว กระบวนการทำให้เป็นตัวจิ๋วและกระบวนการนำส่งผ่านต่างๆ เหล่านี้ชำรุดทั้งหมด ทำให้เป็นเครื่องอธิบายได้ว่า น้ำมันปลาจะช่วยป้องกันได้ในระยะเริ่มแรกที่ยังไม่แสดงอาการ
 
ทั้งนี้โรคสมองเสื่อมทั้งหลายจะมีระยะเพาะบ่มตัวเองอยู่อย่างน้อย 10 ถึง 15 ปีก่อนที่จะแสดงอาการ
 
ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในวันที่ 20 ตุลาคม 2020 ในวารสาร cellPress Cell Reports Me-dicine ได้ชี้ให้เห็นความสำคัญถึงการมองภาพสมองเสื่อม ไม่ใช่ดูที่สมองอย่างเดียวแต่จะเป็นการมองภาพรวม
 
 
เนื่องจากฮอร์โมนในเลือดที่มาจากลำไส้ที่เรียกว่า gut hormones เช่น ตัวที่ชื่อ เกรลิน (ghrelin) มีบทบาทในการควบคุมการสร้างเซลล์ใหม่หรือเซลล์ต้นกำเนิดในสมองมนุษย์ที่แม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และแม้ว่าจะมีอายุมากแล้วก็ตามที่เรียกว่า neurogenesis
 
ฮอร์โมนดังกล่าวมีสองฟอร์ม คือ acyl-ghrelin (AG) และ unacylated-ghrelin (UAG) โดยที่พบว่าตัว UAG กลับเป็นตัวร้ายลดหรือขัดขวางการสร้างเซลล์ใหม่และพิสูจน์แล้วว่าทำให้ความจำปัจจุบันหรือการเก็บความจำระยะสั้นผิดปกติและการทำงานเชื่อมโยงประสานกันของเซลล์ประสาทในระบบเดียวกันและต่างระบบ (neuroplasti-city) ไม่ปกติ
 
โดยเฉพาะในคนป่วยที่มีอาการของโรคพาร์กินสัน ร่วมกับความจำเสื่อม พบมีความผิดปกติของสัดส่วนระหว่าง AG และ UAG นี้ และยืนยันโดยไม่ว่าจะทำการทดสอบในหลอดทดลองหรือในสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมให้ไม่มี ghrelin-O-acyltransferase และทำให้ไม่มี AG ก็จะมีความผิดปกติของการทำงานในระบบความจำ เมื่อให้ AG เข้าไปก็กลับเป็นปกติ และพบหลักฐานชัดเจนว่า AG ที่ช่วยกันสร้างเซลล์ใหม่ถูกขัดขวางจาก UAG
 
 
การค้นพบนี้ของ AG และ UAG ยังทดสอบในคนป่วยที่เป็นพาร์กินสันโดยมีความจำเสื่อมด้วย (parkinson-dementia) แต่จะอธิบายปรากฏการณ์ของโรคสมองเสื่อมที่มีชื่ออื่นๆได้หรือไม่อย่างไร อาจจะต้องมีการทดสอบกันต่อ แต่ข้อสำคัญก็คือเป็นการปูลู่ทาง ทั้งในการวินิจฉัยในคนที่อาจจะยังไม่มีอาการหรืออาการยังไม่ชัดเจนจนกระทั่งถึงวางแผนในการพัฒนานวัตกรรมและยาใหม่
 
ทั้งนี้มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AG โดยมีการรายงานก่อนหน้าในวารสาร Current Biology วันที่ 17 กันยายน 2020 พบว่า ฮอร์โมนนี้เป็นตัวบอกสมองให้รู้สึกว่ามีความหิว โดยผ่านทางเส้นประสาทเบอร์ 10 ซึ่งเป็นเส้นเดียวกับที่โปรตีนบิดเกลียวและก่อให้เกิดโรคสมองเสื่อมใช้เป็นทางผ่านจากลำไส้ขึ้นไปยังสมอง
 
และในสัตว์ทดลองที่การส่งผ่านสัญญาณนี้ผิดปกติ จะเสมือนกับว่าลืมไปแล้วว่ากินไปแล้ว ทำให้กินแล้วกินอีก เหมือนกับกินไม่อิ่ม และอาจจะอธิบายสิ่งที่เราเห็นในคนป่วยสมองเสื่อมหลายๆรายที่ลืมไปแล้วว่ากินแล้วยังกินอยู่เรื่อย (ท่าทางพวกเราหลายคนคงจะใช้ข้ออ้างนี้ว่าฮอร์โมนน้อยแต่ความจริงตะกละ)
 
 
ซึ่งเป็นส่วนของความจำปัจจุบัน (episodic memory) และในสัตว์ทดลองนั้น อาจมีความเกี่ยวข้องกับความมืด-สว่าง หรือเทียบกับกลางวันกลางคืนด้วย กล่าวโดยรวมการมีสุขภาพดีสามารถควบคุมการกระทำได้จากตัวเราเอง ทั้งนี้โดยที่ต้องมีการส่งเสริมให้มีความตระหนักรู้ในการปฏิบัติตัว การใช้ชีวิต ในเรื่องของอาหารการกินและร่วมใจกันส่งเสริมอากาศสะอาดอาหารปลอดภัย
 
คนไทยจะอยู่รอดได้ด้วยบัตรทองก็ต่อเมื่อเราไม่ได้มีโรคเต็มขั้นรายล้อมและเต็มโรงพยาบาล จนกระทั่งไม่ว่าจะมีหมอพยาบาลเครื่องไม้เครื่องมือ นวัตกรรมสมัยใหม่ยามะเร็ง จนถึงยามุ่งเป้าเข็มละ 230,000 บาท ฉีดชุดละสี่เข็ม ยืดชีวิตไปได้ครึ่งปีหรือหนึ่งปีก็คงไม่รอด ต้องคิดแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ใช่วิ่งตามปัญหาแล้วครับ.
 
หมอดื้อ
 
หมอดื้อ 22 พ.ย. 2563 05:01 น.
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด