ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

การตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์ HealthServ.net
การตั้งครรภ์ ThumbMobile HealthServ.net

การฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้วในมดลูกจนกระทั่งถึงคลอดระยะของการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะกินเวลาประมาณ 280 วัน หรือ 40 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายแต่อาจจะแตกต่างกันบ้างในหญิงแต่ละคน

เมื่อมีการแต่งงาน ก็ต้องมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นกับเจ้าสาวส่วนใหญ่ อันเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคู่สมรสได้เข้าใจกระบวนการของการตั้งครรภ์ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพทั้งมารดาและทารก

การตั้งครรภ์คือการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้วในมดลูกจนกระทั่งถึงคลอดระยะของการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะกินเวลาประมาณ280วัน หรือ40สัปดาห์ นับตั้งแต่วันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายแต่อาจจะแตกต่างกันบ้างในหญิงแต่ละคนหญิงที่ออกกำลังกายมากมักจะคลอดบุตรเร็วกว่าหญิงที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ทารกหญิงอาจคลอดเร็วกว่าทารกชาย เพราะโดยเฉลี่ยน้ำหนักน้อยกว่า บางครั้งการตั้งครรภ์อาจเกินกำหนดไป ซึ่งมักเกิดในครรภ์แรก แต่การปล่อยให้การตั้งครรภ์เกินกำหนดมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อการเสี่ยงชีวิตของทารกในครรภ์ เพราะรกอาจหมดอายุและทำงานได้ไม่ดี แพทย์จึงมักจะไม่ให้การตั้งครรภ์ผ่านวันครอบกำหนดเกิน10วัน

ขนาดของเด็กไทยปกติเมื่อแรกคลอดจะหลักประมาณ3กิโลกรัม ทารกชายจะหนักเฉลี่ย 3.2 กิโลกรัม และทารกหญิงเฉลี่ย 3.1 กิโลกรัม แต่น้ำหนักทารกอาจแตกต่างกันได้ตั้งแต่ 2.5 กิโลกรัม ถึง 4 กิโลกรัม เด็กผู้ชายมักมีน้ำหนักมากกว่าเด็กผู้หญิง ลูกคนแรกหนักน้อยกว่าลูกคนต่อๆ ไป และเด็กแฝดหนักน้อยกว่าเด็กคนเดียว

จะทราบได้อย่างไรว่าตั้งครรภ์

อาการแสดงของการตั้งครรภ์อาจแบ่งเป็น3กลุ่ม คือ

  • อาการที่สงสัยว่าจะมีการตั้งครรภ์ คือ ประจำเดือนขาด คลื่นไส้อาเจียน เต้านมคัด อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย และปากมดลูกมีสีคล้ำ อาการเหล่านี้จะแตกต่างกันในหญิงแต่ละคน จึงเป็นอาการที่เชื่อแน่ไม่ได้ว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
  • อาการที่แสดงว่าน่าจะตั้งครรภ์ ได้แก่ มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้น ปากมดลูกนุ่มขึ้น และหน้าท้องใหญ่ขึ้น ซึ่งจะคลำมดลูกได้ทางหน้าท้องในเดือนที่ 3 ของการตั้งครรภ์
  • อาการที่แสดงว่าตั้งครรภ์อย่างแน่นอน ได้แก่ อาการอย่างใดอย่างหนึ่งใน3 อย่างต่อไปนี้ คือ ได้ยินเสียงหัวใจเด็ก มีการเคลื่อนไหวของเด็ก คือเด็กดิ้นซึ่งจะรู้สึกได้ประมาณเดือนที่5ของการตั้งครรภ์ และการตรวจมดลูกด้วยอัลตราซาวนด์พบเด็ก ซึ่งกระทำได้ตั้งแต่เดือนที่ 3

    หญิงส่วนใหญ่เมื่อสงสัยว่าจนตั้งครรภ์ ก็อยากจะทราบให้แน่นอนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยไม่รอให้อาการต่างๆ ที่กล่าวเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องตรวจทางห้องทดลอง โดยการเอาปัสสาวะไปตรวจหาฮอร์โมนที่ผลิตจากรกของเด็ก การตรวจปัสสาวะจะให้ผลบวกในระหว่างสัปดาห์ที่6 - 12นับจากประจำเดือนครั้งสุดท้าย แต่ถ้าตรวจเร็วไปอาจได้ผลเป็นลบ ทั้งๆ ที่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่สำคัญขณะตั้งครรภ์

ระหว่างการตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกิดขึ้นในร่างกายหลายอย่าง และสิ่งหนึ่งที่พิเศษมากคือ มดลูกจะขยายตัวใหญ่ขึ้นหลายเท่าภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน จากโพรงมดลูกซึ่งจุประมาณ10มิลลิลิตร จะขยายใหญ่ขึ้นเป็น5 - 10ลิตร หรือเพิ่มขึ้น500 - 1,000เท่า และน้ำหนักของมดลูกเพิ่มขึ้นจาก70กรัมเป็น1,000กรัม การที่มดลูกขยายตัวใหญ่ขึ้นก็เพราะกล้ามเนื้อของมดลูกขยายตัวใหญ่ขึ้นและยืดยาวออกส่วนจำนวนของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นไม่มากนอกจากกล้ามเนื้อแล้ว เส้นเลือด เส้นประสาท และหลอดน้ำเหลืองจะเพิ่มขึ้นด้วย การขยายตัวใหญ่ขึ้นนี้เป็นผลจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นส่วนใหญ่ โปรเจสเตอโรนมีส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในระยะแรกๆ มดลูกจะอยู่ในอุ้งเชิงกราน เมื่อมดลูกใหญ่ขึ้น ก็จะเจริญขึ้นมาในช่องท้องในระหว่างการตั้งครรภ์ มดลูกจะรัดตัวเป็นระยะๆ แต่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งตามปกติจะไม่มีความเจ็บปวดแต่อย่างใด ในเดือนหลังๆ ของการตั้งครรภ์ การรัดตัวนี้จะบ่อยขึ้นทุก10 - 20นาที ทำให้รู้สึกเจ็บ และหญิงบางคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นการเจ็บครรภ์ เส้นโลหิตและจำนวนโลหิตที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงตัวมดลูกจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเพื่อนำอาหารมาสู่เด็ก จำนวนโลหิตในระยะหลังของการตั้งครรภ์อาจมีมากถึง500มิลลิลิตรต่อนาที

ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ ปากมดลูกจะนุ่มและมีสีคล้ำ รวมทั้งมีการพัฒนาของต่อมในบริเวณปากมดลูก ซึ่งจะผลิตมุกออกมาจุกที่ปากมดลูก และถูกขับออกมาให้เห็นก่อนจะมีการคลอดในระหว่างการตั้งครรภ์ ปากมดลูกอาจมีลักษณะเป็นแผลแดง (erosion)ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปกติ ไม่ได้หมายถึงการอักเสบหรือเป็นแผลร้ายแรง แต่บางครั้งอาจทำให้เลือดไหลซึมออกมาจากบริเวณนี้ได้เมื่อมีการร่วมเพศ

สำหรับช่องคลอดและปากช่องคลอดจะมีการไหลเวียนของกระแสโลหิตเพิ่มขึ้นทำให้บริเวณนี้นุ่มและมีความชื้นมากขึ้นกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อก็มีการเจริญเติบโตมากขึ้น ทำให้ช่องคลอดอาจจะยาวออกการมีมูกมากในช่องคลอดทำให้สภาวะเป็นกรดของช่องคลอดน้อยลง จึงอาจติดเชื้อหรือเกิดการอักเสบในช่องคลอดได้ง่ายระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะเชื้อรา

ในเดือนหลังๆ ของการตั้งครรภ์จะสังเกตได้ว่าผู้หญิงบางคนมีรอยแดงๆ ปรากฎขึ้นบริเวณผิวหนังหน้าท้อง เต้านมและสะโพก ดูคล้ายกับผิวหนังจะแตกการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการฮอร์โมนคอร์ตโยนในร่างกายเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมีการยืดของผิวหนังหน้าท้องด้วย

โดยพบประมาณครึ่งหนึ่งของหญิงที่ตั้งครรภ์หญิงบางคนอาจจะมีฝ้าเกิดขึ้นบนในหน้าระหว่างการตั้งครรภ์ และผิวหนังบริเวณกลางตัวที่หน้าท้องอาจมีสีคล้ำขึ้นเต้านมก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือ ในสัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ เต้านมอาจจะตึงและมีอาการเจ็บเล็กน้อย เมื่อเข้าเดือนที่2เต้านมจะเริ่มขยายใหญ่ขึ้น แต่การขยายตัวของเต้านมจะแตกต่างกันในแต่ละคนเส้นเลือดที่เต้านมก็อาจมองเห็นได้ชัดขึ้นหัวนมก็ใหญ่ขึ้นด้วยและมีสีคล้ำ อาจจะมีน้ำนมไหลออกมาจากหัวนมในระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งเรียกว่า โคลอสตรุม (Colostrums)

อวัยวะบางอย่างต้องทำงานเพิ่มขึ้น

ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีความต้องการอาหารประเภทโปรตีนสูงเพื่อใช้ในการพัฒนาเด็ก รก และตัวมดลูกรวมทั้งจำนวนโลหิตที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นความต้องการธาตุเหล็กจะมากขึ้นกว่าธรรมดา เพราะใช้ในการสร้างเม็ดเลือดและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ แคลเซียมก็จำเป็นต่อการโตของกระดูก

ในกรณีที่แม่ขาดจำพวกแคลเซียม เด็กจะดึงแคลเซียมที่มีอยู่ในร่างกายแม่ ทำให้เกิดอาการตะคริวหรือฟันผุ ฯลฯ ในระหว่างการคลอด ร่างกายจะเสียโลหิตไปจำนวนหนึ่ง มากน้อยขึ้นกับวิธีคลอด และอาจมากถึง500มิลลิลิตร ดังนั้นร่างกายจึงต้องการแร่ธาตุอย่างเพียงพอสำหรับทดแทนโลหิตที่เสียไป

ระหว่างการตั้งครรภ์หัวใจจะทำงานเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากชีพจรเพิ่มขึ้นและขนาดของหัวใจก็โตขึ้นเล็กน้อย จำนวนโลหิตที่หัวใจต้องบีบออกไปแต่ละครั้งหรือในระยะเวลาหนึ่งก็เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งครบกำหนด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการคลอดแต่จะกลับเป็นปกติหลังคลอด

การไหลเวียนของโลหิตก็มีการเปลี่ยนแปลงและเกี่ยวข้องกับอริยาบถของร่างกาย ความดันโลหิตจะสูงที่สุดขณะนั่ง การนอนหงายบางครั้งก็ทำให้ความดันโลหิตต่ำกว่าปกติเมื่อเทียบกับการนอนตะแคงจึงอาจทำให้หน้ามืดและรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะในระยะหลังของการตั้งครรภ์ การหมุนเวียนของโลหิตในช่วงต่ำกว่าเอวขณะตั้งครรภ์มักไม่ค่อยดีเมื่อมดลูกใหญ่ขึ้น เพราะการไหลกลับของโลหิตไปสู่หัวใจจะลดน้อยลงหรือช้าลง ดังนั้นจึงพบว่าหญิงบางคนมีอาการบวมที่ขา เส้นเลือดขอดที่ขา และริดสีดวงทวารเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์ของคนบางคน โดยเฉพาะครรภ์แรก อาจมีความดันโลหิตสูง ซึ่งเรียกว่าเกิดโรคพิษแห่งครรภ์ บางรายความดันโลหิตสูงมากจนเส้นโลหิตในสมองแตก อาการอื่นของโรคนี้คือ มีไข่ขาวในปัสสาวะ บวม และชัก

การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ

ในระหว่างการตั้งครรภ์ ความวิตกกังวลและความตึงเครียดอาจเกิดขึ้นได้กับหญิงมีครรภ์และสามี เพราะทั้งคู่จะต้องมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น ผู้หญิงบางคนอาจรู้สึกว่าตนขาดความดึงดูดใจสามี เพราะท้องใหญ่ขึ้น อ้วนไป มีสิวฝ้าบนใบหน้าทำให้ไม่สวย และหน้าท้องลาย ฯลฯ ยิ่งกว่านั้น ในระยะหลังๆ ของการตั้งครรภ์ความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างสามีภรรยามักลดน้อยลง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาลดน้อยลงด้วย สามีบางคนอาจหันไปหาผู้หญิงอื่น ดังนั้นในระยะนี้หญิงมีครรภ์จึงมักต้องการกำลังใจอย่างมากโดยเฉพาะจากสามี

ข้อเขียนโดย
นพ.ธีรศักดิ์ ธำรงธีระกุล
และทีมแพทย์ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากวิภาวดี
โทร0-2941-2800 , 0-2561-1111กด1

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด