ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

ระวัง..โรคไข้เลือดออก ระบาด

ระวัง..โรคไข้เลือดออก ระบาด

 โรคไข้เลือดออก
อาการสำคัญ
     - ไข้สูงลอย ประมาณ 39-40°C นาน 2-7 วัน มักมีหน้าแดง ปวดหัว ปวดตา ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกระดูก
     - มีหลักฐานเลือดออกง่าย: จุดเลือดออก จ้ำเลือด อาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ เลือดออกทางเยื่อบุ ทางเดินอาหาร ตำแหน่งที่ฉีดยา หรืออื่นๆ
     - ตรวจพบเกร็ดเลือด < 100,000 รัดแขนพบจุดเลือดออก (Tourniquet test ≥10จุด/ตารางนิ้ว) ตับโต
     - มีการรั่วซึมของพลาสมา: ความเข้มข้นเลือดสูงขึ้น ≥ 20% ระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลวหรือช็อคมักจะเกิดช่วงไข้ลด โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น รอบปากสีเขียว ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ
 
ปัญหาที่พบบ่อย ตัวร้อนมาก หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนรุนแรง
ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
     - ให้ผู้ป่วยพักผ่อนในที่ๆ มีอากาศถ่ายเทสะดวก
     - เช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นบ่อยๆ โดยใช้ผ้าชุบน้ำแล้วบิดพอหมาดลูบเบาๆ บริเวณหน้า ลำตัวแขนและขา แล้วพักไว้บริเวณหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ แผ่นอก แผ่นหลังและขาหนีบ สลับกันไปมา ทำติดต่อกันอย่างน้อยนาน 15 นาที แล้วให้ผู้ป่วยสวมเสื้อผ้าบางๆ นอนพักผ่อน
     - ให้รับประทานยาลดไข้ พาราเซตามอล เวลามีไข้สูงหรือปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว โดยให้ห่างกันอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ห้ามรับประทานยาลดไข้ชนิดอื่น โดยเฉพาะยาแอสไพริน ยาซองลดไข้ทุกชนิดหรือยาพวกไอบรูโพรเฟน เพราะอาจทำให้เลือดออกมากผิดปกติ หรือตับวายได้
     - ห้ามฉีดยาเข้ากล้ามและไม่รับประทานยาอื่นที่ไม่จำเป็น 
     - ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) หรือน้ำผลไม้ใส่เกลือเล็กน้อย ถ้ามีคลื่นไส้อาเจียนไม่สามารถดื่มได้ ให้จิบครั้งละน้อยๆ บ่อยๆ ไม่ควรดื่มแต่น้ำเปล่าอย่างเดียว
อาหาร ควรเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย รสไม่จัด เช่น นม ไอศรีม ข้าวต้ม เป็นต้น 
ควรงดอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีสีแดง ดำ หรือสี น้ำตาล 
หมายเหตุ ในระยะไข้สูงของโรคไข้เลือดออก การให้ยาลดไข้ จะช่วยให้ไข้ลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดฤทธิ์ยาแล้วไข้ก็จะสูงขึ้นอีก การเช็ดตัวลดไข้ จะช่วยให้ผู้ป่วยสุขสบายขึ้น
     - มาพบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจติดตามการดำเนินโรค
 
อาการอันตราย
เมื่อผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ ข้อใดข้อหนึ่งต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
     - ผู้ป่วยซึม หรืออ่อนเพลียมาก ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้น้อยลง
     - คลื่นไส้อาเจียนตลอดเวลา
     - ปวดท้องมาก
     - มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดา อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือเป็นสีดำ
     - พฤติกรรมเปลี่ยนไปจากปกติ
     - กระสับกระส่าย หงุดหงิด เอะอะโวยวาย
     - กระหายน้ำตลอดเวลา
     - ร้องกวนตลอดเวลาในเด็กเล็ก
     - ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเป็นเวลานาน
     - ตัวเย็นชื้น เหงื่อออก สีผิวคล้ำลง ตัวลายๆ (เข้าสู่ระยะช็อค) 
 
การป้องกันโรคไข้เลือดออก
     - ควรนอนในมุ้ง หรือในห้องติดมุ้งลวดที่ปลอดยุงลาย 
     - ไม่เล่นในมุมมืด หรือบริเวณที่ไม่มีลมพัดผ่าน 
     - ห้องเรียน หรือห้องทำงาน ควรมีแสงสว่างส่องทั่วถึง มีลมพัดผ่าน ไม่มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น แจกันดอกไม้ควรเปลี่ยนน้ำทุกวัน พลูด่างควรปลูกในดิน 
     - กำจัดยุงในบริเวณมุมอับภายในบ้าน ตู้เสื้อผ้า บริเวณรอบๆบ้าน ทุกสัปดาห์ 
     - กำจัดลูกน้ำ ภาชนะใส่น้ำภายในบ้านควรปิดฝาให้มิดชิดถ้าไม่สามารถปิดได้ให้ใส่ทรายอะเบท หรือใส่ปลาหางนกยูง จานรองขาตู้กับข้าว จานรองกระถางต้นไม้ใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชูหรือผงซักฟอก สัปดาห์ละครั้ง 
 
วัสดุที่เหลือใช้รอบๆบ้าน เช่น กระป๋อง กะลา ยางรถยนต์เก่า ฯลฯ ให้คว่ำหรือทำลายเสีย 
ข้อสำคัญ ถ้ามีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องรีบนำส่ง รพ.ทันที
     - มีอาการเพลีย ซึม ไม่ดื่มน้ำ ไม่รับประทานอาหาร ไม่มีกิจกรรมตามปกติเมื่อไข้ลง (บางรายจะ กระหายน้ำมาก) 
     - อาเจียน / ปวดท้องมาก
     - เลือดออกผิดปกติ
     - มีอาการช็อค / IMPENDING SHOCK คือ
     - มือเท้าเย็น
     - กระสับกระส่าย ร้องกวนมากในเด็กเล็ก
     - ตัวเย็น เหงื่อออก ตัวลาย สีผิวคล้ำลง
     - ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะ 4-6 ชม.
     - ความประพฤติเปลี่ยนแปลง เช่น พูดไม่รู้เรื่อง เพ้อ เอะอะโวยวาย
เป็นระยะอันตรายของโรค เข้าสู่ระยะช็อค แม้อยู่ในภาวะช็อค ผู้ป่วยจะมีสติดี พูดจารู้เรื่อง ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที (กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำ) 
 
กรณีผู้ป่วยรับการรักษาแล้วแพทย์ให้กลับบ้านได้ ควรดูแลและปฏิบัติตนต่อไปนี้
     - ผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกไม่ควรให้ถูกยุงกัดภายใน 5 วันแรกของโรค เพราะผู้ป่วยยังมีไวรัสอยู่ในเลือดทำให้แพร่เชื้อไปให้คนอื่นได้ หากมีคนในบ้านมีไข้สูง ให้พามาตรวจ
     - ควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติควรรีบพามาพบแพทย์ทันที
     - ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ควรหลีกเลี่ยงยาแอสไพริน หรือ ยากลุ่ม NSAID เช่น ไอบูโปรเฟน เนื่องจากทำให้เกิดเลือดออกทางเดินอาหารมากขึ้น หรือมีผลต่อตับได้
     - กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน และที่โรงเรียน
 
 พญ.ปราณี สิตะโปสะ 
 กุมารแพทย์ รพ. วิภาวดี
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด