ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

ไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบไหน - ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร

ไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบไหน - ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร HealthServ.net

จากสถิติยอดรวมผู้สูงอายุที่อายุ 60 ขึ้นไปจะสูงถึง 20% ในปี 2024 และทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์ ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของชายไทยประมาณ 72 ปี และหญิงไทยประมาณ 74 ปี ฉะนั้น สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยจึงเป็นสังคมผู้สูงอายุที่อายุเกิน 60 ปี แต่ไม่สูงถึง 80 ปีแน่นอน

ไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบไหน - ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร ThumbMobile HealthServ.net
 

ไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบไหน....


จากสถิติยอดรวมผู้สูงอายุที่อายุ 60 ขึ้นไปจะสูงถึง 20% ในปี 2024 และทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์
 
แต่ค่าเฉลี่ยของอายุผู้สูงวัยน่าจะไม่สูงมาก เหมือนประเทศที่พัฒนาแล้วในแถบยุโรป กลุ่มแสกนดิเนเวีย หรือญี่ปุ่น สิงคโปร์ ที่อายุเฉลี่ย 80 ปีขึ้นไป
 
ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของชายไทยประมาณ 72 ปี และหญิงไทยประมาณ 74 ปีเท่านั้น
 
ฉะนั้น สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยจึงเป็นสังคมผู้สูงอายุที่อายุเกิน 60 ปี แต่ไม่สูงถึง 80 ปีแน่นอน
 

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น...
 
การที่คนไทยมีอายุเฉลี่ยสูงเกิน 60 ปีนั้น เป็นไปตามพัฒนาการของประเทศที่มีการพัฒนาด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตตามรายได้และการศึกษาที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
 
คนเราเมื่อมีการศึกษามีรายได้ ก็มักจะมีเวลาดูแลสุขภาพตัวเอง
 
เมื่อประกอบกับได้รับการดูแลจากสวัสดิการของรัฐไม่ว่าสวัสดิการข้าราชการ สวัสดิการประกันสังคม และหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมถึงหลักประกันสุขภาพหรือกองทุนเพื่อสุขภาพอื่นๆขององค์กรที่ทำงาน และการมีประกันสุขภาพกับบริษัทประกัน สิ่งเหล่านี้ย่อมมีผลให้ค่าเฉลี่ยอายุของประชาชนโดยรวมสูงขึ้นจากอดีต

 
แต่การที่จะไปต่อนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย...

 
 
ประเทศที่พัฒนาแล้วมีหลายปัจจัยที่ช่วยทำให้ประชาชนมีอายุยาวนานมากขึ้นอาทิ
 
  1. ระดับการศึกษาของประชาชนสูงขึ้นเช่นส่วนใหญ่จบปริญญา
  2. รายได้ประชากรสูงขึ้น GDP per capita สูงเหมือนประเทศในกลุ่ม OECD ที่ประชากรมีรายได้สูงกว่า12,000 เหรียญต่อปีขึ้นไป
  3. รายได้ประเทศหรือ GDP สูงขึ้นถึงระดับเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
  4. ระบบสาธารณสุขของประเทศยกระดับครอบคลุมทั้งประเทศแท้จริง
  5. ประชาชนมีการออมเงินเพื่อใช้จ่ายหลังเกษียณพอเพียงที่จะใช้จ่ายเพื่อรักษาคุณภาพชีวิต





ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพอย่างประเทศพัฒนาแล้วจึงเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริง
 
ในปัจจุบัน คนไทยโดยเฉลี่ยมีการศึกษาต่ำกว่าปริญญา รายได้เฉลี่ยแค่ 7,000 กว่าเหรียญต่อคนต่อปี 

รายได้ของทั้งประเทศยังต่ำมาก 
 
รายได้ต่ำกว่ารายจ่ายขาดดุลงบประมาณมาตลอด 
 
ระบบสาธารณสุขในการให้บริการสุขภาพครอบคลุมแค่ระดับพื้นฐาน 
 
และที่สำคัญคือคนไทยไม่มีการออมมากพอในขณะที่ยังทำงานได้
 
ประเทศไทยจึงเป็นสังคมผู้สูงวัย ที่ยากจน....





 
ความยากจนนี้ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการใช้ชีวิตบั้นปลายของมนุษย์
เป็นข้อจำกัด....
 
ถ้าเป็นประเทศที่มีรายได้สูง เก็บภาษีจากประชาชนสูง 40-50% มีเงินเหลือเฟือใช้ดูแลสุขภาพประชาชนถ้วนหน้าอย่างเช่นประเทศเล็กๆในกลุ่มแสกนดิเนเวีย 
 
อย่างนั้น ประชาชนจะมีอายุยืนอย่างมีคุณภาพ
 
หรือไม่งั้นประชาชนก็ต้องมีการออมจริงจังพอเพียงที่จะใช้ชีวิตยาวนานถึงอายุ 80 ปีขึ้นไป เช่นญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกษียณแล้วมีเงินท่องเที่ยวหาความสุข ไม่เป็นภาระใคร
 
แต่ประเทศไทยไม่ใช่อย่างนั้นเลย....
 
คำว่าสังคมผู้สูงอายุ ในบริบทของประเทศไทย จึงเป็นเพียงสังคมที่ประชาชนมีอายุเกิน 60 ปี
ที่เป็นไปตามพัฒนาการของโลก
 
ไม่ใช่สังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพที่จะมีชีวิตยาวนานเฉลี่ยถึง 80 ปีเหมือนประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ
เป็นสังคมผู้สูงอายุที่ยากจน......

 
และย่อมหมายถึงภาระของรัฐที่ต้องแบกรับมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...




ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร
นักวิชาการอิสระ 
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ กมธ. วุฒิสภา และ อนุ กมธ. ปฏิรูปสาธารณสุข (ตสร) ใน กมธ. สาธารณสุข วุฒิสภา
 
  • ติดตามข้อเขียนล่าสุด ดร.เฉลิมพลได้ที่ Chalermpol Waitayangkoon
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด