สถานการณ์โควิท และความจำเป็น
แม้ว่าโควิด-19 จะถูกจัดให้เป็นโรคประจำถิ่นไปแล้ว อารมณ์ความรู้สึกหรือความหวาดกลัวของสังคมต่อการระบาด ของโรคก็ลดลงจากช่วงแรกเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี ความรุนแรงของโควิด-19 กลับไม่ได้ลดลงแต่อย่างใดโดยเฉพาะต่อคนบาง กลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคประจำตัว 7 กลุ่มเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ ประกอบกับที่ผ่านมามีการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับวัคซีน กระจายไปในสื่อต่าง ๆ ส่งผลให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิด
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศ ไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงร่วมกันเปิดเวที เสวนาเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ถกประเด็นผลกระทบของโรคและความจำเป็นในการดูแลป้องกันสำหรับประชากรกลุ่ม เสี่ยง โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนตัวแทนกลุ่มผู้ป่วยมาแบ่งปันความคิดเห็น ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล ผู้แทนจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ภิรุญ มุตสิกพันธุ์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย พลตำรวจตรี นายแพทย์เกษม รัตนสุมาวงศ์ นายกสมาคม แพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์และนายธนพลธ์ดอกแก้ว ตัวแทนเครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้าน สุขภาพกลุ่มผู้ป่วย Health Forum และสมาคมโรคเพื่อนไตแห่งประเทศไทย ร่วมพูดคุย โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ สิระ กอไพศาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีดำเนินรายการ
ไทยติดเชื้อเพียบ ตายสูงสุดในอาเซียน กลุ่ม 608 ยังเสี่ยงสูง
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ภิรุญ มุตสิกพันธุ์นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ของ โควิด-19 และภาระโรคในประชากรกลุ่มเสี่ยงว่า การระบาดของโควิด-19 ยังคงมีอัตราสูง โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน (16 กันยายน 2567) มีผู้ติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 7 แสนราย ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 48,000 ราย และเสียชีวิต 205 ราย ถือว่าเป็นสถิติการติดเชื้อและเสียชีวิตสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“เมื่อเทียบกับไข้หวัดใหญ่ ที่ตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน จำนวนผู้ป่วยประมาณ 490,000 ราย และเสียชีวิต 36 รายแล้ว โควิด-19 ถือว่ามีความรุนแรงที่มากกว่า ทั้งจำนวนผู้ป่วย และเสียชีวิตที่มากกว่าอย่างชัดเจน โดยผู้เสียชีวิตนั้น ร้อยละ 80-90 เป็นผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงกลุ่ม 608 ซึ่งหมายถึงผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคทางเดิน หายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวานและโรคอ้วน รวมทั้งสตรีมี ครรภ์ด้วย การที่ประชากรส่วนใหญ่ห่างหายจากการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นไปนาน ถึงแม้หลาย ๆ คนอาจเคยติดเชื้อไปแล้ว แต่ ภูมิคุ้มกันก็อยู่ไม่นาน ประกอบกับเชื้อมีการกลายพันธุ์ไป สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นในวงกว้าง และส่งผล กระทบต่อกลุ่มเปราะบาง เกิดโรครุนแรงภาวะแทรกซ้อนได้” รศ. นพ.ภิรุญ กล่าว
รศ. นพ.ภิรุญ เผยต่อไปว่ากลุ่มที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อป่วยเป็นโควิด-19 มีความเสี่ยงที่จะป่วยหนักสูงขึ้นประมาณ 2 ถึง 3 เท่า โอกาสเสียชีวิตสูงขึ้นประมาณ 2 ถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับผู้มีอายุน้อยกว่าหรือผู้ที่ไม่ได้มีโรคร่วม “ไม่เพียงแต่เมื่อ ติดเชื้อแล้วจะมีอาการรุนแรงขึ้น แต่ยังส่งผลต่อภาวะโรคที่คนไข้เป็นอยู่ เพราะโควิด-19 ไม่ใช่โรคของทางเดินหายใจเท่านั้น แต่ เป็นโรคที่สามารถมีอาการแสดงได้ในหลายอวัยวะ เนื่องจากเชื้อสามารถแพร่ไปได้ทั่วร่างกาย ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อ ระบบอวัยวะต่าง ๆ เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หัวใจล้มเหลว ไตวาย ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต เพิ่มขึ้น”
ผู้ป่วยโรคหัวใจน่าเป็นห่วง โควิด-19 กระตุ้นความรุนแรงโรค
อันตรายของโควิด-19 ที่รับรู้โดยทั่วไปคือเมื่อลงปอด จะทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบได้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคทางเดิน หายใจเรื้อรัง เช่น หืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง อยู่แล้ว เมื่อเชื้อลงปอดจะมีอาการรุนแรงมากกว่าคนปกติ อาจส่งผลให้เกิดภาวะหายใจ ล้มเหลวตามมาได้ ส่วนผู้ป่วยโรคหัวใจ พลตำรวจตรี นายแพทย์เกษม รัตนสุมาวงศ์นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศ ไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์กล่าวว่าโควิด-19 ยังส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดด้วย
“ในผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ เมื่อเป็นโควิด-19 ก็สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อหัวใจ เช่น ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ลิ่มเลือดอุดตัน และกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยงได้ซึ่งภาวะดังกล่าวนี้ เมื่อเกิดในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจอยู่แล้ว อาการจะยิ่งเลวร้ายขึ้นและอาจส่งผลให้อาการทรุดหนักจนถึงขั้นหัวใจวายได้”
วัคซีน ลดความรุนแรง ลดอัตราการตายได้
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล ผู้แทนจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โควิด-19 ส่งผลกระทบได้กับทุกอวัยวะ อาจก่อให้เกิดผลกระทบเหมือนเป็นลูกโซ่ ต่อทั้งโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ และนำไปสู่ ภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาได้ในหลาย ๆ ระบบ แม้กระทั่งผู้ไม่ได้มีโรคประจำตัวมาก่อน ก็พบว่าโรคบางโรคเพิ่มสูงขึ้นหลังหายจาก โควิดแล้ว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอด โรคทางสมอง เป็นภาวะที่เกิดตามหลังโควิด-19 หรือเรียกว่า ลองโควิดซึ่งพบประมาณร้อยละ 15 แต่ในกลุ่ม 608 นั้น โรคมีความรุนแรงทั้งในขณะที่ป่วยอยู่และหลังจากหายป่วยแล้ว
ต่อคำถามว่าวัคซีนยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่ ศ. พญ.ศศิโสภิณ ยืนยันว่าวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นยังมีความจำเป็นอยู่ “โควิด-19 มีการกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนหรือเคยติดเชื้อไปนานแล้ว ภูมิคุ้มกันที่มีอยู่อาจไม่สามารถป้องกัน โรคได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง จึงมีความจำเป็นที่ต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งข้อมูลปัจจุบันประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มกระตุ้น จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60-70 ในการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต ซึ่งถ้าพิจารณาจากความเสี่ยงของการป่วยหนักและ
เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าในคนกลุ่มนี้แล้ว ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวัคซีนในการลดภาระโรคที่จะเกิดกับคนไข้กลุ่มนี้”
“ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งในทวีปอเมริกา ยุโรป รวมถึงในแถบเอเชีย อาทิ ไต้หวัน และสิงคโปร์ ยังคงแนะนำให้ ประชากร โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง รับวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้น เพื่อป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต สำหรับประเทศไทย สมาคม โรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยและราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ได้ออกคำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด สำหรับกลุ่ม 608 โดยแนะนำเข็ม กระตุ้น โดยเฉพาะถ้าเคยฉีดวัคซีนเข็มก่อนหน้ามาเกิน 1 ปี หรือติดเชื้อครั้งสุดท้ายมานานกว่า 3-6 เดือน และไม่ขึ้นกับว่าเคย ได้รับวัคซีนโควิด-19 มาแล้วจำนวนเท่าใด” ศ. พญ.ศศิโสภิณ ชี้แจง
เตรียมพร้อมรับมือ เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูการระบาดของโควิด ช่วงปลายปี
รศ. นพ.ภิรุญ ชี้ว่าในปีที่ผ่าน ๆ มาเราได้เรียนรู้ว่า จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิด-19 มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงที่มีการเดินทาง ผู้คนหนาแน่น ไปมาหาสู่กัน โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ และช่วงปลายปีซึ่งตามลักษณะของการระบาด ก็ พอจะคาดคะเนได้ว่า ในช่วงปลายปีที่จะถึงนี้ เราก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยการป้องกันตัวเองไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากาก อนามัย เมื่อต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีคนอยู่แออัด และการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเตรียมไว้
ยืนยัน วัคซีนโควิด มีความปลอดภัย เสี่ยงน้อยกว่าป่วยเป็นโควิด
ในประเด็นผลข้างเคียงของวัคซีนที่พูดกันอย่างกว้างขวางจนอาจสร้างความสับสน และความเข้าใจไม่ถูกต้องกับ ประชาชนนั้น พลตำรวจตรี นายแพทย์เกษม รัตนสุมาวงศ์นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชูปถัมภ์ชี้ว่าหนึ่งในอาการข้างเคียงที่พูดถึงกันบ่อย คือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งจากการเก็บข้อมูลการฉีดในประเทศไทยเอง มีรายงานว่าพบได้ประมาณ 2 ในล้าน ซึ่งจะเกิดเพิ่มขึ้นในวัยรุ่นชายอายุ 18-29 ปี โดยเฉพาะหลังเข็มที่ 2 แต่หลังเข็มกระตุ้น เราแทบจะไม่เจอรายงานเลย โดยถ้าเทียบกับอุบัติการณ์ที่เราเจอในคนทั่วไปที่ไม่ได้รับวัคซีนก็พบว่าไม่ได้เจอเพิ่มขึ้นหลังเข็ม กระตุ้น การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงจึงไม่มีความกังวลในจุดนี้
“อย่างที่อธิบายไปข้างต้นแล้วว่า โควิด-19 เองก็อาจทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้และพบได้บ่อยกว่าการฉีดวัคซีน ด้วยซ้ำไป หากจะชั่งน้ำหนักแล้วประโยชน์ที่ได้รับจากวัคซีนมีมากกว่าโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงแทบจะเทียบกันไม่ได้” พล.ต.ต. นพ.เกษม กล่าว
ข้อมูลในปัจจุบันไม่พบว่าวัคซีนเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง
นอกจากนี้ ศ. พญ.ศศิโสภิณ ยังกล่าวเสริมด้วยว่าในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา วัคซีนโควิดมีการฉีดไปแล้ว ทั่วโลกมากกว่า 13,000 ล้านเข็ม ซึ่งต้องบอกว่ามากกว่าวัคซีนหลาย ๆ ตัวที่มีการใช้มาเป็นสิบ ๆ ปี มีการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีน โควิดและโควิด-19 ออกมามากมาย ซึ่งข้อมูลยังคงสนับสนุนว่า วัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะที่ใช้ในปัจจุบัน คือ วัคซีนชนิด mRNA มีความปลอดภัยสูง อาการข้างเคียงส่วนใหญ่ไม่รุนแรง เช่นเดียวกับวัคซีนอื่น ๆ ที่ใช้กันมายาวนาน การที่เราเคยพูดกันถึงการใช้ ชีวิตแบบ new normal อย่างเช่นเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัยตลอด หลีกเลี่ยงสถานที่พลุกพล่านแออัด ในความเป็นจริง แล้ว ทำได้ยากมาก การฉีดวัคซีนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยป้องกันการป่วยหนักหรือเสียชีวิตในกลุ่มเสี่ยง
“ที่มีการบอกว่าฉีดแล้วเป็นมะเร็ง ข้อมูลในปัจจุบันไม่พบว่าวัคซีนเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง ตามที่ ร.อ. นพ.สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้เคยชี้แจงไว้แล้ว สุดท้ายอยากฝากให้ประชาชนติดตามและตรวจสอบข้อมูล ข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันหรือสมาคมทางการแพทย์ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุข ก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ข้อมูลต่อไป” ผู้แทนจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าว
ตัวแทนผู้ป่วยวอนภาครัฐ วัคซีนเข็มกระตุ้นต้องมี
นายธนพลธ์ ดอกแก้ว จากเครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มผู้ป่วย Healthy Forum และสมาคมโรค เพื่อนไตแห่งประเทศไทย หนึ่งในผู้ร่วมเวทีเสวนาครั้งนี้เน้นย้ำว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกัน โควิด-19 ด้วยวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังและประชาชนกลุ่มเสี่ยง
“กลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่มีการระมัดระวังตัวมาโดยตลอดตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เป็นการป้องกันตนเองตามที่ได้รับ คำแนะนำจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถทำเองได้ แต่การปกป้องตัวเองด้วยวัคซีนนั้น อยู่นอกเหนือจาก ความสามารถของเรา จึงอยากเรียกร้องไปถึงผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องให้ช่วยพิจารณาและจัดหาวัคซีนให้เพียงพอสำหรับประชาชน ถึงแม้ว่าวัคซีนอาจไม่จำเป็นสำหรับประชาชนส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังคงมีความจำเป็นสำหรับกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังและประชาชน กลุ่มเสี่ยงอยู่” นายธนพลธ์กล่าว
นอกจากนี้ นายธนพลธ์ยังแสดงความกังวลว่าตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อในปัจจุบัน ไม่มีข้อมูลที่แท้จริงเนื่องจากขาดการ ติดตามและรายงานอย่างเป็นระบบต่างจากเมื่อเกิดการระบาดใหม่ๆ “การไม่มีตัวเลขที่เก็บอย่างเป็นระบบระเบียบ เพิ่มความ เสี่ยงต่อผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางเพราะเมื่อสาธารณชนไม่ทราบจำนวนผู้ติดเชื้อว่าเพิ่มขึ้นเพียงใด ทำให้ขาดการป้องกันตัวที่ดี ทำให้ โรคยิ่งแพร่กระจายได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น ขณะนี้มีเพียงเพจเดียว คือ ‘ไทยรู้สู้โควิด’ ที่ยังคงให้ความสนใจและติดตามรวมทั้ง นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งตัวเลขจำนวนผู้ป่วย ผู้เสียชีวิต ผู้ป่วยสะสม แม้ว่าตัวเลขอาจจะไม่สมบูรณ์ แต่พอจะเป็น แนวทางให้ผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางรวมทั้งคนในสังคมพอจะมองเห็นภาพของโควิด-19 ในบ้านเราได้ จึงอยากขอให้ติดตามเพจนี้ไว้ ด้วย”
แม้ในวันนี้ เราอาจจะลืมเลือนโควิด-19 กันไปแล้ว แต่โควิด-19 ยังคงไม่ลืมและจะอยู่กับเราตลอดไป ซึ่งในประเทศไทย นั้น จากข้อมูลในปีที่ผ่านมา พบว่ามีการระบาดใหญ่สองช่วง คือ เทศกาลสงกรานต์และช่วงปลายปีที่มีการรวมตัวของคนจำนวน มากตามสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดการณ์ได้ว่าช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า จะพบผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางว่าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดครั้งนี้ซึ่งจะทำให้อาการผู้ป่วยรุนแรง และ มีความเสี่ยงต่อชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้