///////////////////
2. ตรวจสุขภาพ
ตรวจสุขภาพ อาคาร ภปร ชั้น 16
การตรวจสุขภาพปีละ 1 ครั้ง เป็นการช่วยค้นหาโรคหรือความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรก ทำให้ทราบภาวะสุขภาพ ช่วยคัดกรองความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้จัดบริการตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับท่านเพื่อประโยชน์สูงสุดและสุขภาพอนามัยที่ดี ด้วยมาตรฐานโรงพยาบาลระดับนานาชาติ
ศูนย์ตรวจสุขภาพ อาคาร 14 ชั้น
ศูนย์ตรวจสุขภาพอาคาร 14 ชั้นให้บริการตรวจสุขภาพประจำปี
กรณีตรวจเพื่อขอใบรับรองแพทย์เพื่อสมัครงาน ศึกษาต่อ ขอถิ่นที่อยู่และใบรับรองแพทย์เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ สามารถรับบริการได้ที่อาคารภปร.ชั้น16
3. บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีบริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือที่เรียกกันว่า ตรวจแล็บ (Laboratory investigation หรือเรียกย่อว่า Lab test) อาทิ การตรวจเลือด การตรวจพันธุกรรม (DNA) การตรวจปัสสาวะ การตรวจอุจจาระ การตรวจเชื้อ โดยแพทย์และเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา การตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นวิธีการหนึ่งของการสืบค้นเพื่อ
- ช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคทางคลินิกของแพทย์
- ช่วยการวินิจฉัยโรคของแพทย์
- ช่วยประเมินวิธีรักษาและผลข้างเคียงจากการรักษา
- ช่วยในการติดตามโรค
- ช่วยการประเมินสุขภาพผู้ป่วย
ข้อบ่งชี้ในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ คือ อาการผู้ป่วย ประวัติทางการแพทย์ต่างๆ ผลจากการตรวจร่างกาย รวมทั้งจากดุลพินิจของแพทย์ โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อให้สามารถวินิจฉัยและประเมินอาการของผู้ป่วยได้ครอบคลุม ด้วยเครื่องมือและวิทยาการทางการแพทย์ที่ทันสมัย
ประเภทการตรวจ
- การบริการตรวจทางรังสีวิทยา
- การบริการตรวจด้วยเครื่องคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (MRI)
- การบริการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
- การบริการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์เต้านม
- การบริการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
- การบริการตรวจทางรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา
- การตรวจโครโมโซมและเนื้อเยื่อประสาท
- การตรวจทางพยาธิวิทยา
- การตรวจทางจุลชีววิทยา
- การตรวจทางปรสิตวิทยา
- การตรวจนิติเซโรวิทยา DNA และการตรวจสารเป็นพิษ
- การตรวจทางเวชศาสตร์ชันสูตร
4. บริการฉีดวัคซีน
การฉีดวัคซีนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้สามารถป้องกันการติดเชื้อจากโรคที่สามารถป้องกันได้ ในวัยผู้ใหญ่ยังจำเป็นต้องได้รับวัคซีน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนที่จำเป็นได้ที่ เวชศาสตร์ป้องกันและสังคม อาคาร ภปร ชั้น 2 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และสถานเสาวภา สภากาชาดไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
2 จุดคือ ที่ อาคาร ภปร ชั้น 2 และ สถานเสาวภา
รายการวัคซีน
- ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis)
- ไข้สมองอักเสบ เจดี (Live)
- ไข้สมองอักเสบ เจอี
- ไข้หวัดใหญ่
- ไข้เหลือง
- คอตีบ , บาดทะยัก (คอตีบ , บาดทะยัก,ไอกรน)
- งูสวัด
- ไทฟอยด์
- นิวโมคอคคัส (PPSV / PCV)
- บาดทะยัก / คอตีบ / ไอกรน / โปลิโอ (Tdap+IPV)
- บาดทะยัก / คอตีบ บาดทะยัก (TT / dT)
- ปอดอักเสบ
- โปลิโอ ชนิดรับประทาน
- พิษสุนัขบ้า
- มะเร็งปากมดลูก
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ / โรคไข้กาฬหลังแอ่น (meningococcal menigitis)
- ไวรัสตับอักเสบ เอ
- ไวรัสตับอักเสบ บี
- ไวรัสตับอักเสบเอ และ บี
- สุกใส
- หัด หัดเยอรมัน คางทูม
- อหิวาตกโรค ชนิดรับประทาน
- ฮิวแมนปาปิโลมาไวรัส (Cervarix/Gardasil)
- Anti HIV
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
- การบริการตรวจทางรังสีวิทยา อาคาร ภปร ชั้น 4 โทรศัพท์ 02 256 5370
- การบริการตรวจด้วยเครื่องคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (MRI) อาคาร อภันตรีปชา โทรศัพท์ 02 256 4595
- การบริการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) อาคาร จุลจักรพงษ์ โทรศัพท์ 02 256 4160
- การบริการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์เต้านม อาคาร ว่องวานิช ชั้น 2 โทรศัพท์ 02 256 4259
- การบริการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ อาคาร โปษยานนท์ ชั้น 3 โทรศัพท์ 02 256 4283-4
- การบริการตรวจทางรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ฝ่ายรังสีวิทยา 02 256 4100
- การตรวจทางเวชศาสตร์ชันสูตร อาคาร ภปร ชั้น4 02 256 5382
- การตรวจทางจุลชีววิทยา อาคาร ภปร ชั้น4 02 256 5374
- การตรวจโครโมโซมและเนื้อเยื่อประสาท อาคาร กายวิภาคศาสตร์ โทรศัพท์ 02 256 4281
- การตรวจทางปรสิตวิทยา อาคาร ภปร ชั้น4 โทรศัพท์ 02 256 5386
- การตรวจสารเป็นพิษ และDNA อาคาร นิติเวชศาสตร์ ชั้น2 และ4 โทรศัพท์ 02 256 4269 ต่อ 202
- การตรวจชิ้นเนื้อพยาธิวิทยา อาคาร อปร ชั้น1 โทรศัพท์ 02 256 4000 ต่อ3510
5. บริการตรวจเลือดล่วงหน้า
บริการตรวจเลือดล่วงหน้า ช่องทางพิเศษ สะดวกรวดเร็ว
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้เปิดบริการตรวจเลือดเพิ่มเติมช่องทางพิเศษที่สะดวกรวดเร็ว สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการตรวจเลือดล่วงหน้าโดยไม่ต้องการผลเลือดในวันนั้น ซึ่งการให้บริการตรวจเลือดล่วงหน้า ผู้ป่วยใช้สิทธิ์การรักษาได้ตามปกติ
สถานที่และเวลา
ผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการได้ที่ ห้องตรวจเลือดอาคาร ส.ธ. ชั้น 3
วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 8.00 – 12.00 น.
กำเนิดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
เมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๑ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แหลมอินโดจีนเริ่มถูกคุกคามเอกราชจากการล่าอาณานิคมเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจ คือ ฝรั่งเศสและอังกฤษ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียการปกครองเขมรให้กับฝรั่งเศสในปี พ.ศ. ๒๔๐๖
สงครามการล่าอาณานิคมปะทุขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อประเทศฝรั่งเศสได้ส่งกำลังทหารบุกประเทศลาวซึ่งขณะนั้นอยู่ในการปกครองของไทย จึงเกิดปะทะกันขึ้นจนทำให้นายทหารฝรั่งเศสนายหนึ่งเสียชีวิต ฝรั่งเศสจึงใช้เหตุนี้เป็นอุบายเงื่อนไขในการรุกรานยึดครองดินแดนไทย เมื่อไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทางยุทธวิธี จึงขอร้องให้อังกฤษเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยแต่กลับถูกปฏิเสธ ไทยจึงถูกละทิ้งให้โดดเดี่ยว ส่งผลให้กลิ่นไอสงครามคลุกกรุ่นไปทั่วสยาม ดังคำกราบบังคมทูลของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ความว่า
“บัดนี้ได้ทราบเกล้าว่า ฝ่ายนอกที่มีอำนาจปราศจากธรรมะ ทำการข่มขู่ด้วยอุบายต่างๆ จะแย่งชิงส่วนพระราชอาณาเขต เป็นเหตุให้พระมหาเศวตรฉัตรต้องสะดุ้งสะเทือนทั้งเกียตริยศและอิสรภาพของพระราชอาณาจักรจะเสื่อมทรามไป”
ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ จึงชักชวน “วงศาญาติบุตรหลานและมิตรสหายทั้งเพื่อนหญิงที่รักชาติ” เรี่ยไรออกทรัพย์ตามแต่ศรัทธา ตั้งขึ้นเป็น “สภาอุณาโลมแดง” เพื่อช่วยเหลือชาติบ้านเมือง ให้การรักษาพยาบาลแก่ ทหารบก ทหารเรือ และประชาชนผู้บาดเจ็บในยามสงคราม รวมทั้งจัดซื้อยาและสิ่งของที่ควรแก่การพยาบาลส่งไปทุกกองทัพ จากนั้นจึงกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี เป็น “ชนนีผู้บำรุงการ” พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวีเป็น “สภานายิกา” สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวีทรงนำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่า “เห็นว่าเป็นความคิดอันดี ซึ่งต้องด้วยแบบอย่างประเทศทั้งปวง” จึงทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง “สภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยาม” เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ถือเป็นวันกำเนิดสภากาชาดไทย
พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี องค์สภานายิกา ทรงกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมเดชานุภาพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ รับเป็น “ ทานมยูปถัมภก” (หรือองค์บรมราชูปถัมภก) แห่งสภาฯ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ และทรงพระราชทานเงินส่วนพระองค์เป็นทุนในครั้งแรกจำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท อีกทั้งยังทรงมีพระราชหัตถเลขาสำแดงพระราชหฤทัยให้เป็นที่เชื่อมั่นหมายแก่สภาอุณาโลมแดง ว่า “ชีวิตและทรัพย์สินของฉันกับกรุงสยามนี้ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมิได้มีความหวงแหนเลย” นอกจากนี้ยังทรงมีพระบรมราชโองการเวนคืนที่วังของกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศเพื่อจัดสร้างเป็นโรงพยาบาลสภาอุณาโลมแดง ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ เป็นการเร่งด่วนทันที
ในขณะเวลานั้นสถานการณ์ความขัดแย้งทรุดลง เมื่อทางฝรั่งเศสเห็นว่าไทยเสียเปรียบทั้งการทูตและการรบ จึงส่งทูตพิเศษผู้มีอำนาจเต็มพร้อมกับเรือรบมาจอดรอที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเจรจากับรัฐบาลไทยในวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดจึงเกิดการสู้รบขึ้น มีทหารไทยบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก สภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยามจึงจัดตั้งโรงพยาบาลขึ้นเป็นการฉุกเฉินทันที ที่วัดมหาธาตุ เพื่อดูแลรักษาทหารและประชาชนผู้บาดเจ็บ ทางฝรั่งเศสยื่นคำขาดให้ไทยตอบตกลงยินยอมยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศสทั้งหมดภายใน 48 ชั่วโมงแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ฝรั่งเศสจึงส่งเรือรบมาปิดปากอ่าวเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ทำให้ฝ่ายไทยต้องยินยอม และตกลงทำสัญญามอบดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมดให้กับฝรั่งเศสในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ เป็นการสูญเสียดินแดนมากถึง ๑๔๓,๘๐๐ตารางกิโลเมตร เสียพลเมืองกว่า ๖๐๐,๐๐๐ คน และเบี้ยปรับอีก ๓ ล้านฟรังก์ ซึ่งต้องชดใช้ด้วยเงินสะสมของในหลวงรัชกาลที่ ๓ ทั้งหมด เรียกว่า “เงินถุงแดง” ที่ไว้สำหรับไถ่บ้านไถ่เมือง
ครั้นสงครามสงบลง โรงพยาบาลสภาอุณาโลมแดงยังคงกิจการรรักษาพยาบาลแก่ประชาชนเรื่อยมา โดยมีแพทย์หลวงจากกรมพยาบาลมาตรวจรักษา แต่เนื่องจากมีที่ตั้งติดกับบริเวณจัดสร้างพระเมรุมาศในสมเด็จพระบรมโอสราธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ที่ทรงสวรรคตลง จึงจำเป็นต้องหยุดกิจการ นับเป็นเวลาเปิดทำการอยู่นานราว ๗ ปี ส่วนสภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยามนั้น ยังคงดำเนินกิจการอยู่ดังเดิม
เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชหัตถเลขาถึง พระราชโอรส กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ความว่า “ ….. สภาอุณาโลมแดงในกรุงนี้สงบเงียบหายไปเสียแล้ว ให้กรมยุทธนาธิการคิดจัดทั้งที่จะให้การเดินไป และที่จะแต่งตั้งผู้แทนไปประชุมเรื่องนี้ด้วย” ต่อมาจึงทรงเสด็จพระราชดำเนินไปรักษาพระอาการประชวร ณ ประเทศยุโรปกรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ทรงกราบบังคมทูล สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครในเวลานั้นว่า
“ …… เวลานี้จึงเห็นเป็นไปว่า สภาอุณาโลมเงียบสงบไปเสียแล้ว แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถยังทรงพระกรุณาอุปถัมภ์การของสภาอุณาโลมนี้อยู่เสมอ…….เมื่อโปรดเกล้าให้ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ดำริห์ในการที่จะจัดฟื้นสภาอุณาโลมนี้ขึ้นนั้น พระเดชพระคุณล้นเกล้าหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้าจะได้กระทำการนี้โดยน้ำใจสุจริตยินดี ……ในที่จะจัดให้สภาอุณาโลมนี้ต่อไปภายหน้า มีทางจะทำได้ให้เป็นการถาวรมั่นคง คือ หาที่ตั้งขึ้นเป็นโรงพยาบาลของสภาอุณาโลมแดงนี้เสียก่อน…..”
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตรัสในที่ประชุมเสนาบดีสภา วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ว่า “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ จะให้จัด (สภาอุณาโลมแดงฯ) ขึ้นไว้ให้มั่นคงสำหรับบ้านเมือง” แต่ก็ยังไม่ทันได้ดำเนินการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพลันทรงเสด็จสวรรคตเสียก่อน ในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เวลา ๒.๔๕ นาฬิกา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สิริพระชนมายุได้ ๕๗ พรรษา
จากนั้นเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๓ เป็นเวลาครบ ๑ เดือนหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานเงินส่วนพระองค์จำนวน ๕,๘๐๐ บาท เพื่อใช้จัดตั้งโรงพยาบาลสภาอุณาโลมแดง ทำให้พระราชโอรสพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์จึงทรงพร้อมพระทัยกันร่วมพระราชทานทรัพย์สมทบรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๒,๙๑๐ บาท และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานเงินของสภาอุณาโลมแดงที่มีอยู่ทั้งหมด ๓๙๑,๒๕๙ บาท ๙๘ สตางค์เข้าสมทบเพิ่มเติม ซึ่งในจำนวนนี้มีเงินพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่แรกตั้งสภาอุณาโลมแดงอยู่เป็นจำนวนถึง ๘๐,๐๐๐ บาท และเพื่อให้การนี้สำเร็จได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ จอมพลพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม พระราชโอรสองค์ที่ ๑๗ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รับหน้าที่ดำเนินการจัดสร้างโรงพยาบาลฯ จนสำเร็จสมบูรณ์ นับเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดของประเทศ ณ เวลานั้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงพยาบาลเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๗ พร้อมกับทรงมีพระราชดำรัสตอบในการเปิดโรงพยาบาลว่า
“ในการบำเพ็ญกุศลถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถนั้น ย่อมต้องระลึกดูว่า จะทำการอย่างใด จึงจะเป็นที่พอพระราชหฤทัย เราและพี่น้องจะฉลองพระเดชพระคุณได้ในทางใด หรือถึงแม้เสด็จสวรรคตล่วงลับไปแล้ว ถ้ามีวิธีใดที่จะทำให้ทราบถึงพระองค์ได้นั้น การอย่างใดจะเป็นที่พอพระราชหฤทัย เมื่อระลึกดูดังนี้ก็เห็นได้ว่า ตลอดเวลารัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกนาถย่อมพอพระราชหฤทัยในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินที่ทรงปกครอง สิ่งไรทำขึ้นให้นำมาซึ่งความสุขความสำราญแก่ประชาชน สิ่งนั้นย่อมพอพระราชหฤทัยยิ่งนัก….จึงตกลงกันว่า ถ้าสร้างโรงพยาบาลขึ้นเป็น “ราชานุสาวรีย์” คงจะเป็นที่พอพระราชหฤทัยเป็นแน่แท้”
การจัดสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แห่งสภากาชาดไทยนี้ได้สำเร็จลุล่วงตามพระราชปณิธานแห่งพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ถึง ๒ พระองค์ เป็นพระวิริยะอุตสาหะอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานถึง ๑๘ ปี (พ.ศ. ๒๔๓๖-๒๔๕๔) กว่าจะได้จัดสร้างจนสำเร็จลุล่วง จึงทรงพระราชทานนามโรงพยาบาลแห่งสภาฯ นี้ใหม่ว่า
“โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์”
“พระราชานุสาวรีย์” แห่ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินไทย…..สืบไปตลอดกาลนาน
ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ
ผู้เรียบเรียงและบันทึกประวัติศาสตร์
๒๓ มกราคม ๒๕๖๑