รายงานสถานการณ์ ด้านเด็กและเยาวชน ประจำปีงบประมาณ 2567 ไตรมาส 4 เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2567 กรมกิจการเด็กและเยาวชน [
www.dcy.go.th] เผยแพร่เนื้อหาเรื่อง
ภัยคุกคามทางเพศเด็กและเยาวชน ในโลกออนไลน์ กับวิธีการดูแลเด็กสำหรับผู้ปกครอง มีประเด็นน่าสนใจดังนี้
จากรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ใน
รายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาส 2/2567 ที่ระบุถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของภัยคุกคามทางเพศต่อเด็กและเยาวชนในโลกออนไลน์ และจากรายงาน ของ ECPAT International องค์กรภายใต้กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ระบุว่า ปี 2567 ประเทศไทยเป็น 1 ใน 25 ประเทศที่มีปัญหาการคุกคามทางเพศต่อเด็กและเยาวชนทางออนไลน์ในระดับที่น่ากังวล เช่นเดียวกับคดีเกี่ยวกับ ล่วงละเมิดทางเพศเด็กและเยาวชนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 48 คดี ในปี 2560 เป็น 540 คดี ในปี 2566 ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนของปัญหาดังกล่าวต่อสังคมไทย ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของสถานการณ์การคุกคามทางเพศออนไลน์ต่อเด็กเป็น 3 ระดับ
ระดับการคุกคามทางเพศออนไลน์ที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
1. ระดับเบื้องต้น (Low - level Harassment) มักเป็นการคุกคามประเภทผู้กระทำไม่คิดว่าเป็นการคุกคามต่อผู้ถูกกระทำ ได้แก่ การก่อกวนโดยวิธีการแสดงความเห็นที่ใช้ถ้อยคำโดยไม่ได้เจาะจงเป็นรายบุคคล
2. ระดับปานกลาง (Moderate - level Harassment) ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นการกระทำซ้ำและก่อให้เกิดความเครียดทางอารมณ์กับเหยื่อรายบุคคล โดยมาในรูปแบบการก่อกวนต่อเนื่อง การดูหมิ่นทางเพศ
3. ระดับสูง (Severe/Hight - level Harassment) เป็นการคุกคามโดยพฤติกรรมที่รุนแรง และก้าวร้าวทำให้เกิดผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจ ซึ่งเป็นระดับความรุนแรงที่บ่งบอกถึงการกระทำผิดกฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศอย่างชัดเจน
แนวทางในการดูแลสำหรับผู้ปกครอง
1. สอนให้ลูกรู้จักร่างกายของตนเอง โดยสอนให้เด็กรู้จัก “พื้นที่ส่วนตัว” ไม่ปล่อยให้ใครมาสัมผัสร่างกายเราโดยไม่ได้รับ อนุญาต เช่น การหอมแก้ม จุ๊บปาก จับร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อวัยวะในร่มผ้า ที่ไม่ควรปล่อยให้ใครมาแตะต้อง ซึ่งเมื่อเด็กเริ่มเจริญวัยก็มีบางจุดเองอย่างบริเวณก้น หน้าอก อวัยวะเพศ ที่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรสัมผัสลูกเช่นกัน
2. สอนให้ลูกรู้จักสิทธิ แยกแยะสัมผัสที่ควรและไม่ควร สอนให้เด็กรู้จัก สิทธิเด็กที่ตนเองพึงมี เพื่อปกป้องพื้นที่ส่วนตัวและ เคารพในสิทธิของผู้อื่น รู้จักแยกแยะระหว่างสัมผัสทั่วไป เช่น ในการเรียนอย่างวิชาพละ การเล่น การทำกิจกรรมร่วมกัน การไปหาหมอ ฯลฯ กับสัมผัสที่ไม่ปลอดภัย เช่น การแตะต้องที่ทำให้รู้สึกอึดอัด การลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวหรืออวัยวะในร่มผ้า
3. ไม่บังคับให้เด็กสัมผัส กอด หรือหอมคนอื่น ผู้ปกครองก็ไม่ควรบังคับให้ลูกกอดหรือหอมคนอื่น รวมถึงการยินยอมให้ คนอื่นมากอดหรือหอมโดยที่เด็กไม่เต็มใจ แม้จะเป็นญาติก็ตาม เพราะจะทำให้ลูกสับสนว่าควรปกป้องร่างกายตนเองหรือ ยินยอมให้คนอื่นสัมผัส
4. สอนให้เด็กรู้จักปฏิเสธ โดยสอนให้เด็กรู้จักปฏิเสธเมื่อมีคนมาสัมผัสในพื้นที่ส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าหรือ คนรู้จักใกล้ชิดก็ตาม รวมถึงการปฏิเสธที่จะอยู่ในที่ลับตาสองต่อสองกับคนอื่น
5. สอนให้เด็กบอกผู้ปกครองทันที เมื่อมีคนมาจับหรือโชว์อวัยวะส่วนตัวให้ดู เมื่อเกิดเหตุการณ์ถูกคุกคามหรือ ล่วงละเมิดขึ้น ผู้ปกครองควรสอนให้เด็กบอกกับผู้ปกครองทันที แม้ผู้กระทำจะเป็นญาติหรือบุคคลใกล้ชิดก็ตาม โดยข้อนี้ ค่อนข้างสำคัญ เนื่องจากเด็กมักถูกขู่ว่าไม่ให้บอกพ่อแม่หรือคนอื่น
โปรดใช้ถ้อยคำสุภาพ เหมาะสม เพื่อบรรยากาศที่ดีในการสนทนา และแบ่งปันข้อมูลอันมีคุณค่าต่อกัน