วิวัฒนาการจากอดีต สู่ ปัจจุบันของสถาบันราชานุกูล
วิวัฒนาการใน ๕ ทศวรรษของสถาบันราชานุกูล
จากอดีต...ถึงปัจจุบัน...
แต่เดิมก่อนก่อตั้งโรงพยาบาลราชานุกูลนั้น ผู้ที่มีสติปัญญาบกพร่องส่วนมากจะถูกปล่อยปละละเลยให้อยู่กับบ้าน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีโอกาสได้เข้ารับการบำบัดรักษาตามโรงพยาบาลจิตเวชทั่วไป บุคคลเหล่านี้มักจะถูกมองว่าเป็นปัญหาทางสังคม เพราะรับผิดชอบตนเองไม่ได้ต้องเป็นภาระของครอบครัว โดยเฉพาะบิดา มารดา และญาติ พี่น้องที่จะต้องอุทิศเวลาในการดูแลเป็นพิเศษไม่มีเวลาออกทำมาหาเลี้ยงชีพ ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคม และเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็นภาระที่สังคมจะต้องให้ความช่วยเหลือ และเป็นหาทางสาธารณสุขที่สมควรจะได้รับการแก้ไข โดยหาทางป้องกัน บำบัดรักษา เพื่อลดจำนวนให้น้อยลง และแก้ไขฟื้นฟูสมรรถภาพให้เขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้ เป็นประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนต่อไป ด้วยเหตุนี้เองจึงได้มีการดำเนินการจัดสร้างโรงพยาบาลปัญญาอ่อน ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓ นับว่าเป็นโรงพยาบาลพิเศษเฉพาะ ผู้ที่มีสติปัญญาบกพร่องแห่งแรกในประเทศไทย
“ราชาเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชู”
สถาบันราชานุกูล ซึ่งเดิมมีชื่อว่า โรงพยาบาลปัญญาอ่อนนั้น เป็นโรงพยาบาลพิเศษเฉพาะที่ตั้งขึ้น เพื่อให้บริการด้านบำบัดรักษาแก่ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาแห่งแรกในประเทศไทย โดยมีพิธีรับมอบเมื่อวันที่ ๑๖มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๓
ต่อมาทางโรงพยาบาลได้จัดบริการด้านการฝึกอบรม โดยเริ่มมีห้องเรียนในปีแรกเพียงห้องเดียว กั้นแบ่งออกจากตึกนอนของคนไข้ส่วนหนึ่ง นำมาใช้บริการนี้และมีพยาบาลช่วยกันสอนในระยะแรก เนื่องจากยังไม่มีตำแหน่งครู หลักการสอนในชั้นเรียนก็เพียงเพื่อตรึงนักเรียนให้รู้จักสิ่งรอบๆ ตัวเองและให้มีกิจกรรมทำเท่านั้น อีก ๒ ปี ต่อมาโรงเรียนขยายเป็น ๓ ห้องเรียน ซึ่งขณะนั้นเริ่มมีครูอาชีวะ และครู ป.กศ. เข้ามาร่วมสอนแต่บางห้องก็ยังใช้พยาบาลช่วยทำการสอนอยู่ จนในปี ๒๕๐๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาพระราชทานเงินรายได้จากการฉายภาพยนตร์ส่วนพระองค์ ชุดเสด็จฯเยือนประเทศมาเลเซีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพื่อสร้างโรงเรียนสอนเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาขึ้น ให้รู้จักช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน สามารถปรับตัวและเรียนรู้การอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างปกติสุข รวมถึงการสอนวิชาชีพให้ตามความถนัดของเด็กที่สามารถจะเรียนรู้ได้ นับเป็นต้นแบบโรงเรียนการศึกษาพิเศษแห่งแรกในประเทศไทย และพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “โรงเรียนราชานุกูล” โดยมีห้องเรียน ๑๐ ห้อง มีรูปแบบอาคารที่เป็นสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย และต่อมาจึงได้งบประมาณพัฒนาสร้างอาคารเรียนเพิ่มขึ้นอีก ๑ หลัง ทำให้การเรียนการสอนสมบูรณ์ขึ้น ตั้งแต่นั้นมากิจการของโรงเรียนได้ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เป็นแหล่งศึกษาดูงานของนิสิตนักศึกษา แพทย์ พยาบาลและครู
ในเวลาต่อมา...โรงพยาบาลปัญญาอ่อนจึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใช้ชื่อ
“โรงพยาบาลราชานุกูล” เช่นเดียวกับชื่อของโรงเรียน ซึ่งได้มีพระบรมราชานุญาต เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง นำมาซึ่งความปลาบปลื้มต่อผู้ป่วย และญาติพี่น้อง ตลอดจนบุคลากรของโรงพยาบาลฯ โดยทั่วหน้า
ยุคที่ ๑ : โรงพยาบาลปัญญาอ่อน (พ.ศ.๒๕๐๓-๒๕๒๒)
โครงการ “โรงพยาบาลปัญญาอ่อน” ถือเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโครงการหนึ่งในแผนพัฒนาสาธารณสุขแห่งชาติฉบับที่ ๑ ของกองโรงพยาบาลโรคจิต กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขแห่งชาติ การก่อสร้างโรงพยาบาลปัญญาอ่อนได้เริ่มดำเนินการขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๐๒ โดยใช้เนื้อที่ ๒๖ ไร่เศษของโรงพยาบาลโรคติดต่อของกรมอนามัย ต่อมากรมการแพทย์ได้เจรจากับเทศบาลนครกรุงเทพขอยืมที่บริเวณทิ้งขยะของเทศบาลๆ ซึ่งอยู่ด้านหลังติดกับโรงพยาบาลปัญญาอ่อนขณะนั้นส่งผลให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก ๖ ไร่ รวมเป็น ๓๒ ไร่ สาเหตุเนื่องมาจากในปีพ.ศ.๒๕๐๐ ได้เกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้น โรงพยาบาลโรคติดต่อซึ่งรับรักษาคนไข้อหิวาตกโรค ปัจจุบันคือ โรงพยาบาลบำราศนราดูร กรมอนามัย มีสถานที่ตั้งอยู่ถนนดินแดง เป็นที่ลุ่มน้ำเจิ่งแม้ในหน้าแล้ง ตั้งอยู่ในชุมชนแออัด มีประชากรหนาแน่น ไม่เหมาะที่จะเป็นสถานที่โรงพยาบาลโรคติดต่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเห็นสภาพดังกล่าว จึงมีคำสั่งให้ย้ายโรงพยาบาลโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการแลกเปลี่ยนสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลปัญญาอ่อนซึ่งเป็นพื้นที่ของโรงพยาบาลศรีธัญญาให้เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลโรคติดต่อแทน และก่อสร้างโรงพยาบาลปัญญาอ่อน ณ ถนนดินแดง พญาไท ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลโรคติดต่อเดิม
เกี่ยวกับการตั้งชื่อโรงพยาบาลนั้น ศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว ขณะที่ดำรงตำแหน่ง
รองอธิบดีกรมการแพทย์ และท่านเป็นผู้ริเริ่มโครงการจัดตั้งโรงพยาบาลสำหรับบุคคลปัญญาอ่อน โดยไม่
ต้องใช้ศัพท์สันสกฤตหรือบาลีให้ต้องแปลกันทุกคนเห็นดีด้วย จึงมีการตั้งชื่อว่า“โรงพยาบาลปัญญาอ่อน” โรงพยาบาลปัญญาอ่อนได้รับมอบสถานที่ดำเนินการก่อสร้าง และจัดตั้งโรงพยาบาลปัญญาอ่อน
แห่งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๓ โดยได้แต่งตั้งนพ.รสชง ทัศนาญชลี เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่านแรก ได้ประกอบพิธีเปิดตึกอำนวยการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๐๕ โดย ฯพณฯจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นได้ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิด เริ่มแรกรับบุคคลปัญญาอ่อนจากโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา จำนวน ๒๐ คน เพื่อบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพต่อมารับผู้ป่วยใหม่เพิ่มอีก ๕ ราย รวมเป็น ๒๕ ราย ทั้งนี้เพื่อจะได้ฝึกทักษะแก่บุคลากรในโรงพยาบาลให้มีความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถในวิธีปฏิบัติ สำหรับดูแลฟื้นฟูสมรรถภาพแก่บุคคลปัญญาอ่อน
กิจกรรมและพัฒนาการที่สำคัญ
๒๔๙๗: นพ.รสชง ทัศนาญชลี ศึกษาดูงานด้านปัญญาอ่อน ณ ประเทศอังกฤษ และเป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงพยาบาล พ.ศ. ๒๕๐๓
๒๔๙๙ : กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับองค์กรอนามัยโลก โดย Dr. Allen Stoller ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก สำรวจประเทศไทย มีบุคคลปัญญาอ่อนร้อยละ ๑ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๐๐
๒๕๐๑ : แพทย์หญิงวัณรุณี คมกฤส ศึกษาและดูงานด้านปัญญาอ่อน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. ๒๕๐๑-๒ และเป็นผู้อำนวยการคนที่ ๒ ของโรงพยาบาล พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๓๑
๒๕๐๓ : ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๓ กองโรงพยาบาลโรคจิต กรมการแพทย์ ได้แรกเปลี่ยนที่ตั้งโรงพยาบาลกับ โรงพยาบาลโรคติดต่อ กรมอนามัย และรับผู้ป่วยรุ่นแรกจากโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ตั้งแต่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓
ตึกอำนวยการ ดัดแปลงเป็นบ้านพักผู้อำนวยการ และเป็นพิพิธภัณฑ์โรงพยาบาลราชานุกูลในปัจจุบัน
: โรงพยาบาลปัญญาอ่อน โรงพยาบาลแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
: ๒๕๐๓-๒๕๑๑ น.พ.ประสิทธิ์ ปิ่นกุลบุตร ได้นำเครื่องมือทดสอบ Stanford Bidet Form L-M ตรวจวัดสติปัญญาเพื่อแยกแยะระดับความปัญญาอ่อน
๒๕๐๕: ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ เปิดบริการเป็นทางการโดยฯพณฯ นายกรัฐมนตรีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
: มูลนิธิช่วยเด็กปัญญาอ่อนในพระบรมราชนูปถัมภ์โดยท่านผู้หญิงหม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร เป็นผู้ริเริ่มสนับสนุนกิจกรรมและการก่อสร้างอาคารในโรงพยาบาล
๒๕๐๖ : จัดบริการรักษาทางกายภาพ
๒๕๐๖: โรงพยาบาลราชานุกูลได้ให้การวินิจฉัยโรค “PKU” หรือPHENYLKETONURIA ในเด็กปัญญาอ่อนอายุ ๓ ปี ได้เป็นรายแรกของโรงพยาบาล
๒๕๐๗ : โรงเรียนราชานุกูล โรงเรียนพิเศษสำหรับเด็กปัญญาอ่อนแห่งแรกในประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและสมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ เสด็จเปิด “โรงเรียนราชานุกูล” วันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๗
หลักการสอน ๓ ประการ
• รู้จักช่วยตัวเองในชีวิตประจำวัน
• รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสังคม
• สอนวิชาชีพ
๒๕๐๙: ๘ กรกฎาคม ๒๕๐๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเปิดตึกดรุณพัฒนาสำหรับเด็กอายุ ๓-๖ ปี
: การสอนเด็กอายุ ๓-๖ ปี เคลื่อนไหว, เอาใจใส่ตนเองสุขภาพ ปลอดภัย ภาษาศิลป์ เวลา รูปทรง สังคม ศิลปะ ธรรมชาติ
: วิจัย “ทัศนคติของมารดาที่บุตรเป็นปัญญาอ่อน” น.ส.ฉลวย จุติกุล นักสังคมสงเคราะห์
๒๕๑๒: น้ำยา Ferric Chloride ๑๐% และเทปน้ำยา ตรวจหาสาเหตุปัญญาอ่อนจากโรค Phenyl ketonuria ในโรงพยาบาล
: พญ.ปทุม โพธิ์ทอง และนางสาวอุ่นเรือน อำไพพัสตร์ ได้รับทุนมูลนิธินายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว แปลแบบทดสอบ DDST เป็นภาษาไทย
๒๕๑๓: จัดบริการห้องปฏิบัติการพันธุศาสตร์ โดยแพทย์หญิงชวาลา เธียรธนู เป็นแห่งแรกในประเทศไทย
๒๕๑๕ : ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๕ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดา เสด็จแทนพระองค์ในพิธีเปิด “ตึกศูนย์วิจัยปัญญาอ่อน และลดอัตราการเกิดปัญญาอ่อน
๒๕๒๐ : ผู้อำนวยการ นพ.รสชง ทัศนาญชลี และน.ส.อุ่นเรือน อำไพพัสตร์ ใช้เทคนิควิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior Modification Techniques) บุคคลปัญญาอ่อน เด็กออทิสติก เด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์
๒๕๒๐ : วิจัย “การติดตามผลการประกอบอาชีพของบุคคลปัญญาอ่อน”
โดย น.ส.ฉลวย จุติกุล นักสังคมสงเคราะห์
๒๕๒๐ : ผู้อำนวยการ นพ.รสชง ทัศนาญชลี และน.ส.อุ่นเรือน อำไพพัสตร์ ใช้เทคนิควิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior Modification Techniques) บุคคลปัญญาอ่อน เด็กออทิสติก เด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์
๒๕๒๐ : วิจัย “การติดตามผลการประกอบอาชีพของบุคคลปัญญาอ่อน”
โดย น.ส.ฉลวย จุติกุล นักสังคมสงเคราะห์
๒๕๒๒ : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานนามว่า “โรงพยาบาลราชานุกูล”
ยุคที่ ๒ : โรงพยาบาลราชานุกูล (พ.ศ.๒๕๒๒-๒๕๔๕)
“ปัญญาอ่อน” เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย กระทรวงสาธารณสุข โดยนายแพทย์ยงยุทธ สัจจะวานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานนามโรงพยาบาลเพื่อเป็นสิริมงคลสืบไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า “โรงพยาบาลราชานุกูล” เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๒
โรงพยาบาลราชานุกูล เป็นโรงพยาบาลพิเศษเฉพาะทางเพื่อให้บริการแก่ผู้บกพร่องทางสติปัญญาแบบครบวงจร ตั้งแต่การตรวจ วินิจฉัย บำบัด รักษา ส่งเสริมป้องกันและฟื้นฟูสมรรถภาพ พร้อมทั้งเป็นสถานที่ให้ความรู้ด้านภาวะปัญญาอ่อนแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุขทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การดำเนินงาน
ได้ดำเนินงานแบ่งการให้บริการเป็น ๒ แผนกคือ
• แผนกผู้ป่วยนอก : ให้บริการตรวจวินิจฉัยป้องกัน บำบัด รักษา และให้คำแนะนำแก่บิดา มารดาผู้ปกครอง ในการเลี้ยงดูบุตรหลานปัญญาอ่อนให้ถูกหลักวิชาการ
• แผนกผู้ป่วยใน : เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการแพทย์ ด้านการศึกษา ด้านสังคม และด้านการฝึกอาชีพ
มีการประสานงานการดำเนินงานด้านฝึกอบรมจากต่างประเทศ ได้แก่
• โดยการช่วยเหลือจากอินเตอร์ เอด เอเชีย สนับสนุนวิทยากรในหลักสูตรการดูแลบุคคลปัญญาอ่อนในชุมชน
สำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครู ผู้ปกครอง พี่เลี้ยง ฯลฯ ซึ่งมีศูนย์กลาง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
• โครงการร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย เวลส์ อินสทิทิวท์ คาร์ดีฟ (UWIC) แห่งสหราชอาณาจักรกับโรงพยาบาล
กิจกรรมและพัฒนาการที่สำคัญ
๒๕๒๐ : ผู้อำนวยการโรงพยาบาล นพ.รสชง ทัศนาญชลี, น.ส.พรรณี แสงชูโต นำเทคนิคการกระตุ้นพัฒนาการเด็ก (Early Stimulation) ใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
นพ.รสชง ทัศนาญชลี และน.ส.อุ่นเรือน อำไพพัสตร์ พัฒนาแบบการตรวจความพร้อมทางวุฒิภาวะทางสังคม (Vineland Social Maturity Scale) เพื่อประเมินความสามารถในการดำเนินชีวิตในสังคมของบุคคลปัญญาอ่อน
๒๕๒๕ : พญ.วัณรุณี คมกฤส ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมีนโยบายให้จัดโครงการปัญญาอ่อนชุมชน พญ.ปัญญา เพ็ญสุวรรณ และคณะสหวิชาชีพ (Dr.Isobel Maire, Dr.June Jeans) อาสาสมัครชาวอังกฤษ สนับสนุนจาก กองทุนช่วยเหลือเด็กแห่งประเทศอังกฤษ โดยมี
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมโอกาสดำเนินชีวิตผสมกลมกลืนอยู่ในสังคมอย่างมีสิทธิและศักดิ์ศรี ปรับกระบวนการทำงานของบุกคลากรเป็นเชิงรุก ประสานประโยชน์จากแหล่งชุมชน ซึ่งได้แก่
๑. ศูนย์พัฒนาเด็กราชานุกูล (พ.ศ.๒๕๒๗) ศูนย์พัฒนาสาธิตบริการให้เด็กปัญญาอ่อนอายุแรกเกิด-๖ ปี
(สโมสรโรตารี่ กรุงเทพใต้, AIA, สถานทูตอังกฤษ)
๒. โครงการเรียนร่วม ร.ร.วิชูทิศ (พ.ศ.๒๕๓๒, ๒๕๓๔) มุ่งรณรงค์สิทธิการศึกษา ค้นคว้าและสร้างสรรค์รูปแบบ
๓. การให้บริการที่บ้าน เริ่ม พ.ศ.๒๕๒๗ สอนและวางแผนการช่วยเหลือแก่พ่อแม่ที่บ้าน
๔. การอบรมการดูแลยุคคลปัญญาอ่อนในชุมชน โดยการสนับสนุนของ Deter AID AIA
๒๕๓๐ : ทุนวิจัย WHO
๑. Feasibility Study pf the Application of PGEE in Developmentally Delayed Thai Children>
๒. Study of Mental Retardation Problems in Thailand ๑๙๘๗-๑๙๘๘
๒๕๓๑ : โครงการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปัญญาอ่อนในชุมชน โดย พญ.กัลยา สูตะบุตร และ พญ. ปัญญา เพ็ญสุวรรณ และทีมสหวิชาชีพ และเปิดให้การฝึกอบรม โดยเชิญวิทยากรจากประเทศออสเตรเลีย และเผยแผ่คู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กแก่จังหวัดต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน
๒๕๓๒: เริ่มดำเนินงานโครงการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางพัฒนาวิชาการและบริการด้านการส่งเสริมพัฒนาการเด็กสำหรับเด็กแรกเกิด – ๕ ปี ที่มีพัฒนาการล่าช้า
๒๕๓๓ : โครงการการใช้คู่มือส่งเสริมพัฒนาการในโครงการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนแห่งชาติ
๒๑ มีนาคม ๒๕๓๓ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จทรงเปิดอาคารผู้ป่วยนอก ได้ทรงแนะนำให้จัดตั้งมูลนิธิ เพื่อช่วยเหลือเด็กปัญญาอ่อนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์
๒๕๓๔ : ๕ กรกฎาคม ๒๕๓๔ มูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลราชานุกูล ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้ง และได้กราบทูลเชิญ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์โครงการ UWIC
๒๕๓๗ : กรมสุขภาพจิต การประสานการบริหารจัดการ การจัดบริการและองค์ความรู้เทคโนโลยีด้านปัญญาอ่อนและพัฒนาการเด็กในระดับจังหวัด “โครงการทดลองจ้างงานบุคคลปัญญาอ่อน” รับบันทึกไว้ในองค์การแรงงานระหว่างชาติ
(ILO ,เจนีวา)
๒๕๓๘: โครงการทดลองจ้างงานบุคคลผู้บกพร่องทางสติปัญญา เริ่มดำเนินการเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ จนถึงปัจจุบัน เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ และพัฒนาด้านอาชีพ ด้านสังคม ลักษณะนิสัยที่จำเป็นในการทำงานเพื่อให้บุคคลผู้บกพร่องทางสติปัญญาสามารถปฏิบัติงาน และอยู่ร่วมกับคนปกติได้ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน ๑ ล้านบาท เป็นกองทุนเริ่มต้น องค์อุปถัมภ์ ประทานให้อีก ๕ แสนบาท และผู้มีกุศลจิตบริจาคเพิ่มให้จนกองทุนเติบโต มีเงินบริหารงาน ๓ ล้านบาท ได้นับดอกผลมาใช้จ่ายจ้างงาน นับเป็นจุดเริ่มต้นที่มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง
๒๕๔๐: พญ.ชวาลา เธียรธนู ส่งเสริมการพัฒนางานด้านการตรวจโครโมโซมเพื่อวินิจฉัย ศึกษาค้นคว้าวิจัยสาเหตุของภาวะปัญญาอ่อนเพื่อการป้องกันที่ได้ริเริ่มและดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๒ ได้พัฒนาจนเป็นที่ยอมรับ และได้สนับสนุนให้นพ.วีรยุทธ ประพันธ์พจน์ ได้รับทุนจากกรมสุขภาพจิตไปศึกษาต่อปริญญาเอกด้านพันธุศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
๒๕๔๑: ศึกษาวิจัยด้านพัฒนาการและการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ได้แก่ วิจัยติดตามเด็กในโครงการส่งเสริมพัฒนาการเด็กโรงพยาบาลราชานุกูล ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๓๑ – ๒๕๔๑ การศึกษาอายุพัฒนาการของเด็กกลุ่มอาการดาวน์ โดย พญ.นพวรรณ ศรีวงค์พานิช
๒๕๔๒: นพ.อุดม เพชรสังหาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชานุกูลมีนโยบายการพัฒนามาตรฐานการบริการในระดับตติยภูมิแบบสหวิชาชีพเน้นการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน
๒๕๔๓: นพ.วีรยุทธ ประพันธ์พจน์ ดำเนินโครงการวิจัยทางด้านพันธุศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับด้านภาวะปัญญาอ่อนและโรคทางจิตเวช เกิดผลงานการวิจัยการตรวจความผิดปกติของปลายโครโมโซมที่ทำให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการสาธารณสุข
๒๕๔๓: ก่อตั้ง “ร้านเพื่อน” เพื่อเป็นจุดฝึกอาชีพ และจำหน่ายผลผลิตของบุคคลปัญญาอ่อน
และครอบครัว รวมทั้งผู้พิการประเภทอื่นๆ
๒๕๔๔: นพ.อุดม เพชรสังหาร ผู้อำนวยการ ดำเนินงานโครงการสุขภาพจิตเด็กพิการและด้อยโอกาส โดยการประสานงานเครือข่ายติดต่อกันตั้งแต่ปี ๒๕๔๔-๒๕๔๖ ด้วยเล็งเห็นความสำคัญถึงสุขภาพจิตเด็กพิการและผู้ด้อยโอกาสให้สามารถเข้าถึงบริการ และรับการดูแลตั้งแต่แรกเริ่ม ตลอดจนได้รับการบำบัดฟื้นฟูอย่างเหมาะสม
๒๕๔๔: สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด “พิพิธภัณฑ์โรงพยาบาลราชานุกูล” วันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๔ เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ความรู้ด้านภาวะปัญญาอ่อนให้แก่ประชาชนทั่วไป
๒๕๔๕: หลักสูตร Group Training Course on Intellectual Disability โดยร่วมมือกับ JLID และจากหลักสูตรนี้ทำให้ราชานุกูลได้รับการร้องขอในเรื่องการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น เช่นจาก เวียดนาม กัมพูชา
๒๕๔๖: พัฒนาโครงการทดลองจ้างงานให้มีมาตรฐานทางวิชาการ จนเป็นที่ยอมรับของ International Labor Organization (ILO) ว่าเป็นโครงการที่มีคุณภาพในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลปัญญาอ่อน และ ILO ยังได้สนับสนุนทางวิชาการโดยประสานกับ BIZLINK แห่งประเทศสิงคโปร์ให้มาถ่ายทอดประสบการณ์ในการทำงานฝึกอาชีพบุคคลปัญญาอ่อนให้กับราชานุกูล รวมทั้งสนับสนุนทุนแก่บุคลากรไปศึกษาดูงานของ BIZLINK ที่ประเทศสิงคโปร์
๒๕๔๖: การเชื่อมเครือข่ายกับ Japan League on Intellectual Disability (JLID) (ตอนหลัง
เปลี่ยนชื่อไปแล้ว) เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาทางวิชาการ และความร่วมมือในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานด้านนี้ในเอเชียแปซิฟิค ทำให้ได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆ มากขึ้น
ยุคที่ ๓ : สถาบันราชานุกูล (พ.ศ.๒๕๔๕-ปัจจุบัน)
จากการปฏิรูประบบราชการ โรงพยาบาลราชานุกูลจึงได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างบทบาท
ภารกิจใหม่ ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารราชการแผ่นดินฉบับที่ ๕ ตามกฏกระทรวงสาธารณสุข
พ.ศ.๒๕๔๕ ยกระดับฐานะจากโรงพยาบาลเป็น “สถาบันราชานุกูล” โดยมุ่งเน้นการวิจัยและการพัฒนาเป็น
หลัก ซึ่งมีแผนการพัฒนาสถาบันราชานุกูลตามยุทธศาสตร์ดังต่อไปนี้
ยุทธศาสตร์
• การเสริมสร้าง/พัฒนาภาคีเครือข่าย
• การพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยี
• การพัฒนาศูนย์กลางวิจัยและเทคโนโลยี
• การพัฒนาศูนย์กลางวิชาการด้านพัฒนาการเด็กและสติปัญญา
• การพัฒนาสู่ความเป็นเลิศด้านบริการ
• การพัฒนาองค์กรและสมรรถนะบุคลากร
วิสัยทัศน์
“สถาบันราชานุกูลเป็นผู้นำทางวิชาการ บริการ ด้านพัฒนาการเด็กและสติปัญญาที่มีคุณภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บุคลากรมีความสุข ผู้รับบริการมีความพึงพอใจ”
พันธกิจ
รับผิดชอบในการพัฒนาเพื่อการเป็นศูนย์กลางวิชาการด้านพัฒนาการเด็กและสติปัญญา
ให้บริการด้านพัฒนาการเด็กและสติปัญญาแบบองค์รวมในระดับตติยภูมิ
ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการส่งเสริม ป้องกัน บำบัด รักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพด้านพัฒนาการเด็กและสติปัญญา
สถาบันราชานุกูล มีความมุ่งมั่นในการพัฒนามาตรฐานบริการบุคคลบกพร่องทางสติปัญญา บุคคลที่มีปัญหาพัฒนาการและสติปัญญาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขในการดำรงชีวิต มีศักดิ์และสิทธิ์เช่นเดียวกับบุคคลปกติ สังคมยอมรับว่าเป็นบุคคลปกติที่มีพัฒนาการล่าช้าหรือมีความจำกัดบางอย่างแต่สามารถพัฒนาได้
กิจกรรมและพัฒนาการที่สำคัญ
๒๕๔๖: การพัฒนาต้นแบบบริการหอผู้ป่วยครอบครัว หอผู้ป่วยออทิสติก การเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนปกติและโรงเรียนเรียนร่วม โครงการจ้างงานเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสู่การจ้างงานแบบครบวงจร มุ่งพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเป็นศูนย์กลางงานวิชาการด้านพัฒนาการเด็กที่มีคุณภาพ
๒๕๔๗: พัฒนางานการให้บริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวชเด็กและวัยรุ่น อาศัยความร่วมมือของทีมสหวิชาชีพที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางโดยพัฒนาพยาบาลวิชาชีพให้มีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้านสุขภาพจิต
๒๕๔๗: มีการปรับโครงสร้างการทำงานและปรับองค์กรเพื่อรองรับการปฏิรูประบบราชการให้สอดคล้องกับนโยบายกรมสุขภาพจิตในฐานะสถาบันวิชาการ ปรับเปลี่ยนงานศึกษาพันธุศาสตร์เป็นศูนย์วิจัยพันธุศาสตร์การแพทย์ มีภารกิจสำคัญทั้งในด้านการให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรม และการดำเนินการวิจัยทางด้านพันธุกรรม
๒๕๔๘: พัฒนาหลักสูตรและเทคโนโลยี ถ่ายองค์ความรู้ โดยการร่วมมือกับคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการพัฒนาหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางสาขาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ซึ่งกรมสุขภาพจิตมอบให้สถาบันราชานุกูลเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการจัดทำหลักสูตรและจัดฝึกอบรมมาถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งต่อยอดดำเนินการสร้างเครือข่ายดำเนินงานในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
๒๕๔๘: นพ.วีรยุทธ ประพันธ์พจน์ นักวิจัยหลักโครงการวิจัยเรื่อง การจัดทำฐานข้อมูลทางสุขภาพจิตและพันธุกรรมในผู้รอดชีวิตจากคลื่นสึนามิใน ๖ จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย (๒๕๔๘-๒๕๕๑)
๒๕๔๙: จากเหตุการณ์มหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิ พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ได้จัดทำโครงการติดตามและฟื้นสภาวะจิตใจเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ ( Emotional Recovery Efforts for Tsunami – Affected Children in Thailand ) โดยได้รับความร่วมมือกับโรงพยาบาลถลาง และโรงพยาบาลกระบี่ ตั้งแต่ มกราคม ๒๕๔๙-ธันวาคม ๒๕๕๐ ภายใต้งบประมาณสนับสนุนจาก Bernard van Leer Foundation ประเทศเนเธอร์แลนด์
๒๕๔๙: พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้อำนวยการมุ่งเน้นการพัฒนาต้นแบบบริการและวิชาการ การจัดตั้งคลินิกพิเศษ เช่น คลินิกทางพันธุศาสตร์ คลินิกจิตเวชเด็กและวัยรุ่น คลินิกจิตเวชผู้ใหญ่ คลินิกฝังเข็ม จัดตั้งศูนย์ดนตรีบำบัดเพื่อพัฒนาด้านอารมณ์ พฤติกรรมและทักษะการสื่อสารแก่บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
๒๕๔๙: โครงการพัฒนาสติปัญญาเด็กไทย เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๙ จนถึงปัจจุบัน โดยดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยีและพื้นที่นำร่องต้นแบบการพัฒนาสติปัญญาเด็กไทย พัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุนการพัฒนาสติปัญญาเด็กไทยวัยแรกเกิด-๕ ปี และด็กวัยเรียน ๖-๑๑ ปี : คู่มือประเมินพัฒนาการเด็กแรกเกิด-๕ ปี ฉบับใหม่ ชุดเทคโนโลยีเสริมสร้างไอคิว อีคิว เด็กแรกเกิด-๕ ปี และเด็กวัยเรียนการอบรมวิทยากร/แกนนำ
๒๕๔๙: โครงการศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมและเภสัชกรรมของโรคซึมเศร้าในคนไทย โดย นพ.วีรยุทธ ประพันธ์พจน์ เป็นการสัมภาษณ์ข้อมูลทางคลินิก การจัดเก็บตัวอย่างทางพันธุกรรมในรูป DNA ๑๙ ตัวอย่าง ในรูป Permanent cell line ๓๕ ตัวอย่าง การบำรุงรักษาตัวอย่างทางพันธุกรรม และติดตามผลการรักษาผู้ป่วย/กลุ่มควบคุม(กลุ่มเดิมจากการศึกษาในระยะที่ ๑ ) และติดตามกลุ่มใหม่ ไปจนครบ ๓ ปี
๒๕๔๙: สถาบันราชานุกูลได้ร่วมมือกับ Best Buddies International เพื่อดำเนินโครงการ Best Buddies Thailand ในปีพ.ศ.๒๕๔๙ โดยสนับสนุนให้ข้าราชการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นจึงได้ขยายเครือข่ายการดำเนินงาน ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตทักษะทางสังคมของผู้บกพร่องทางพัฒนาการและสติปัญญา โดยผ่านสัมพันธภาพความเป็นเพื่อนแบบหนึ่งต่อหนึ่งจากอาสาสมัครบุคคลปกติปกติ
๒๕๕๐: โครงการพัฒนาเครื่องมือสำรวจต้นทุนชีวิตสำหรับเด็กวัยเรียน ช่วงชั้นที่ ๑ (ป.๑-ป.๓) และช่วงชั้นปีที่ ๒ (ป.๔-ป.๖) โดย พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล และทีมวิจัย
๒๕๕๐: ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดคลินิกทันตกรรมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ได้รับทุนสนับสนุนจัดสร้างจากมูลนิธิเพื่อสถาบันราชานุกูลฯ โดยมีพลเอกวันชัย เรืองตระกูล เป็นประธานกรรมการอำนวยการจัดงาน
เพื่อเป็นการปรับปรุง พัฒนาคลินิกทันตกรรมให้มีความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพต่อการให้บริการแก่ผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการและสติปัญญา
๒๕๕๑: กรมสุขภาพจิตมอบหมายให้สถาบันราชานุกูลเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านพันธุศาสตร์การแพทย์และปัญญาอ่อนของกระทรวงสาธารณสุข (ตามราชกิจจานุเบกษา) โดยมีการขยายความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ได้แก่ ประเทศเดนมาร์ก อินเดีย กัมพูชา และเวียดนาม
๒๕๕๒: สถาบันราชานุกูล ร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ร่วมกันดำเนินโครงการจัดบริการแก่เด็กบกพร่องทางพัฒนาการวัยแรกเกิด-๕ ปีในกรุงเทพมหานคร โดยให้มีระบบการคัดกรองเด็กวัยแรกเกิด-๕ ปี ในศูนย์บริการสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร ๓๐ แห่ง และเพิ่มความเข้มแข็งของระบบบริการให้มีการประเมินและส่งเสริมพัฒนาการ
๒๕๕๒: สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต ร่วมกับ สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ดำเนินกิจกรรมการพัฒนา IQ EQ เด็ก ๐ – ๕ ปี ( กิน กอด เล่น เล่า) ภายใต้โครงการโรงพยาบาลสายใยรักแห่งครอบครัว เพื่อพัฒนาคุณภาพแม่และเด็ก ๐–๕ ปีในพื้นที่ ๗๕ จังหวัด โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงาน
๒๕๕๒: ได้รับการรับรองหลักสูตรการใช้คู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด-๕ ปี จากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
๒๕๕๒: โครงการส่งเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายในการดูแลผู้บกพร่องทางพัฒนาการและสติปัญญาโดยใช้กระบวนการทางศิลปกรรม
การจัดโปรแกรมค่ายครอบครัวศิลปกรรมบำบัดแก่ผู้ปกครองและเครือข่ายนอกระบบ การสัมมนาผู้เชี่ยวชาญ และร่างหลักสูตรศิลปกรรมบำบัดสำหรับผู้บกพร่องทางพัฒนาการและสติปัญญา
๒๕๕๓: มูลนิธิออมสินเพื่อสังคม ให้การสนับสนุนทุนในการก่อสร้างอาคารเพื่อเป็นศูนย์สาธิตและเป็นแหล่งเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติการผลิตเก้าอี้เปเปอร์มาเช่เพื่อเด็กพิการทางสมอง โดยได้ส่งมอบอาคาร “ออมสินรวมใจรักษ์” ให้แก่สถาบันราชานุกูล เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓
๒๕๕๓: สถาบันราชานุกูลได้รับการรับรองจากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
นับจากอดีต....ถึงปัจจุบันสถาบันราชานุกูลได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลาย ตลอดจนมีการเจริญเติบโตในภารกิจที่เป็นงานสำคัญในระดับประเทศ และมีความมุ่งมั่นต่อการพัฒนาในก้าวต่อไป นั่นคือ การเป็นศูนย์กลางวิชาการด้านพัฒนาการเด็กและสติปัญญา โดยมีหน่วยบริการที่เป็นเลิศเฉพาะทางด้านส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัยแรกเกิดถึง ๕ ปี และเป็นศูนย์กลางของความเป็นเลิศทางพันธุศาสตร์ของโรคจิตเวช ตลอดจนเป็นแรงผลักดันในการยกระดับคุณภาพชีวิตเด็กพิการและด้อยโอกาสในสังคมไทยให้มีความเท่าเทียมกับอารยประเทศ
ยุค ๔
พ.ศ.๒๕๕๕ – ปัจจุบัน
สถาบันราชานุกูล
เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงตามบทบาทกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) และการเตรี??