สารเคมีสังเคราะห์กลุ่มเพอร์ฟลูออโรอัลคิลและโพลีฟลูออโรอัลคิล (PFASs) ถูกผลิตและนำไป ใช้ในอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างแพร่หลายมามากกว่าครึ่งศตวรรษ สาร PFASs จัดเป็น สารมลพิษชนิดใหม่ที่ปนเปื้อนและตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อมหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมทั้งสะสมใน เนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิต และเป็นพิษต่อสุขภาพ ยืนยันด้วยผลการทดลองในสัตว์และผลการศึกษาทางระบาด วิทยาในมนุษย์ของสาร PFASs บางชนิด เช่น ผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ การเกิด ภูมิแพ้ การทำงานของไต โรคหัวใจและหลอดเลือด การเพิ่มขึ้นของระดับไทรอยด์ฮอร์โมนและระดับ คอเลสเตอรอล และมีโอกาสก่อมะเร็งในมนุษย์ เป็นต้น
ความตระหนักด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพเริ่มต้นอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2000 นำมาซึ่งการศึกษาวิจัยในหลายประเทศ ส่งผลให้มีการ กำหนดมาตรการควบคุมการผลิตและใช้งานสาร PFASs เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชนในประเทศ เหล่านั้น แต่ในประเทศไทยที่ผ่านมามีเพียงการตรวจสอบสาร PFASs ในตัวอย่างสิ่งแวดล้อม ซึ่งผล การศึกษายืนยันการปนเปื้อนในตัวอย่างน้ำ ฝุ่นพื้นผิว และอากาศ คนไทยจึงมีโอกาสรับสัมผัสสาร กลุ่มนี้เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น การศึกษาแหล่งกำเนิด เส้นทางการปนเปื้อน ปริมาณการรับสัมผัสในมนุษย์ และความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกิดจากสาร PFASs จะเป็นฐานข้อมูลต่อยอดที่สำคัญในการวิเคราะห์ สถานการณ์ในประเทศ เพื่อควบคุมผลกระทบจากสารมลพิษกลุ่มนี้
บทนำ
ปัจจุบันหลายๆ ประเทศต้องเผชิญกับปัญหา สารมลพิษชนิดใหม่ (Emerging Contaminants) ที่ปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม สารเหล่านี้ถูกคิดค้น และนำมาใช้ในอุตสาหกรรม เพื่อช่วยให้ผู้คนมี คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ขาดการ ศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพก่อน นำไปใช้ ความตระหนักต่อสารมลพิษเหล่านั้น มักเกิดขึ้นหลังจากการผลิตและใช้งานมาสักระยะ ซึ่งนานพอที่สารมลพิษแพร่กระจายและปนเปื้อน อยู่ในสิ่งแวดล้อม จนอาจนำไปสู่ความเสี่ยงหรือ แม้กระทั่งเกิดผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ สารเคมีกลุ่ม Per และ Polyfluoroalkyl substances โดยรวมใช้ชื่อย่อว่า PFASs ถูกผลิตและนำมาใช้ ในอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลายตั้งแต่ช่วงคริสต์ ทศวรรษที่ 19501
แต่ความตระหนักทางด้าน สิ่งแวดล้อมที่ทำให้มีการศึกษาอย่างจริงจังเริ่มขึ้น 50 ปีหลังจากนั้น การวิจัยการปนเปื้อนสาร PFASs ในสิ่งแวดล้อมและความเสี่ยงต่อสุขภาพถูกดำเนิน การโดยประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก สารเหล่านี้มีการปนเปื้อนในระดับความเข้มข้น ต่ำ ๆ (Micropollutants) จึงต้องอาศัยเทคนิค การวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูง ผลการวิจัยทำให้ ประเทศที่พัฒนาแล้วมีการควบคุมการผลิตและ การใช้สาร PFASs ฐานการผลิตจึงถูกเคลื่อนย้าย ไปยังประเทศกำลังพัฒนา แต่การศึกษาการปน เปื้อนในสิ่งแวดล้อมและความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกิด จากสาร PFASs ในประเทศกำลังพัฒนากลับมีอยู่ จำกัด บทความวิชาการฉบับนี้มี 2 วัตถุประสงค์หลัก อย่างแรกเพื่อทบทวนผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ สาร PFASs ได้แก่ คุณสมบัติ การนำไปใช้ประโยชน์ แหล่งกำเนิดและเส้นทางการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม การรับสัมผัสในมนุษย์ ผลกระทบต่อสุขภาพ และ การดำเนินการควบคุม และส่วนที่สองเพื่อทบทวน สถานการณ์การปนเปื้อนสาร PFASs ในสิ่งแวดล้อม ในประเทศไทย เพื่อให้ข้อเสนอแนะต่อประเด็น การศึกษาวิจัยที่ควรดำเนินการต่อไป
ความสำคัญของสาร PFASs
1. คุณสมบัติทางกายภาพและเคมี
กล่าวอย่างเข้าใจง่าย สาร PFASs เกิดจากพันธะคาร์บอน และฟลูออรีน ทำให้มีคุณสมบัติที่ดีเด่นหลายอย่าง โดยเฉพาะ ความแข็งแรง ความเสถียรและ ทนทานต่อความร้อนและสารเคมี
PFASs จึงถูกนำไปใช้เป็น ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความหลากหลาย ทางคุณสมบัติทั้งความแข็งแรง ยืดหยุ่น และมีอายุ การใช้งานที่ยาวนาน
และด้วยลักษณะเฉพาะตัวของ PFASs ที่มีคุณสมบัติทั้งมีขั้ว (หมู่ฟังก์ชัน) และไม่มีขั้ว (สายฟลูออโรคาร์บอน) ในโมเลกุล ส่งผลให้ สาร PFASs มีคุณสมบัติช่วยลดแรงตึงผิว สามารถ ขับไล่ทั้งน้ำและไขมันไม่ให้ยึดเกาะ จึงถูกนำมาใช้เป็น วัตถุดิบ ส่วนผสม หรือสารตัวกลางในการผลิตสาร เคลือบผิว และใช้เคลือบผิวผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคในครัวเรือนหลายชนิดเพื่อกัน น้ำ ไขมัน และคราบสกปรกต่าง ๆ
พันธะที่แข็งแรง
ระหว่างคาร์บอนและฟลูออรีน ทำให้สาร PFOS PFOA รวมถึงสารชนิดอื่นในกลุ่ม PFSAs และ PFCAs เป็นสารเคมีที่เสถียร (persistent) ย่อย สลายได้ยากต้องใช้รังสีพลังงานสูงหรืออุณหภูมิสูง ในห้องปฏิบัติการ แต่ไม่สามารถย่อยสลายได้ทาง ชีวภาพจึงตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้ยาวนาน
และด้วยคุณสมบัติทางเคมีฟิสิกส์ของสาร กลุ่ม PFSAs และ PFCAs ที่สามารถละลายน้ำได้ ทำให้เกิดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมประเภทน้ำและแหล่งน้ำได้ (ขณะที่กลุ่ม FTOHs ซึ่งระเหยได้มีเส้นทางการปนเปื้อนหลักในอากาศ)
2. การใช้ประโยชน์
จากคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับการใช้งาน ในการผลิตทางอุตสาหกรรมข้างต้น สาร PFASs ถูกนำไปใช้ประโยชน์หลากหลายโดยมี 16 สาขาอุตสาหกรรมหลัก โดยสาร PFASs สามารถปนเปื้อนออกสู่สิ่งแวดล้อมได้ทั้ง จากกระบวนการผลิต การใช้งาน และการกำจัดทิ้ง ในระหว่างกระบวนการผลิต
สาร PFASs อาจถูกปลด ปล่อยออกมาในรูปของวัตถุดิบที่ไม่ได้ทำปฏิกิริยา (residues) หรือผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (impurities) ซึ่งรวมไปกับของเสียทั้งในรูปก๊าซเสีย น้ำเสีย กากตะกอน และมูลฝอยจากโรงงานผลิต
หรือถูกปลดปล่อยออกมาระหว่างการนำสาร PFASs ไปใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวม ถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์เหล่านั้นของผู้บริโภค และ การนำของเสียที่มีสาร PFASs เป็นส่วนผสมไปกำจัด ทิ้งด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การใช้กากตะกอนทำปุ๋ยหมัก การบำบัดน้ำเสีย การบำบัดก๊าซเสียและน้ำชะขยะ จากหลุมฝังกลบ เป็นต้น
สาขาอุตสาหกรรมที่มีการนำสาร PFASs ไปใช้ประโยชน์
1. อุตสาหกรรมการบินและการป้องกันอากาศยาน
ใช้เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ท่อเคเบิล และเป็นส่วนผสมในสารไฮดรอลิคเพื่อป้องกันการระเหย การติดไฟและการกัดกร่อน
2. อุตสาหกรรมยานยนต์ ใช้ปรับปรุงระบบขนส่งน้ำมันรถยนต์เพื่อป้องกันการระเหยของสารไฮโดรคาร์บอนในท่อขนส่งและป้องกันความร้อน รวมทั้งเป็นส่วนผสมในน้ำมันหล่อลื่น
3. อุตสาหกรรมผลิตยาปราบศัตรูพืช
ใช้เป็นส่วนผสมเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตและกำจัดวัชพืชและแมลง
4. อุตสาหกรรมผลิตสายเคเบิลและสายไฟ
ใช้ในการผลิตสายเคเบิลและสายไฟที่ใช้ในระบบสื่อสารคมนาคมระบบคอมพิวเตอร์ รถยนต์ และอากาศยาน เป็นต้น
5. อุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้าง
ใช้เคลือบผิววัสดุ เช่น กระเบื้อง คอนกรีต เหล็ก เพื่อกันไฟและให้ทนทานต่อสภาพอากาศ รวมทั้งเป็นส่วนผสมในสีทาบ้าน
6. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ใช้เคลือบป้องกันแผงวงจร
7. อุตสาหกรรมด้านพลังงาน ใช้เคลือบป้องกันตัวรับแสงอาทิตย์ และสารอิเล็กโทรไลต์ในแบตเตอรี่
8. อุตสาหกรรมป้องกันเพลิงและระงับอัคคีภัย
เป็นส่วนผสมในโฟมดับเพลิง และเคลือบอุปกรณ์ที่ใช้ในการดับเพลิง
9. อุตสาหกรรมผลิตสินค้าอุปโภคในครัวเรือน
ใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาเคลือบเงาพื้น น้ำยาทำความสะอาด รวมทั้งใช้เคลือบผิวเครื่องหนัง พรม และเครื่องครัว เช่น เคลือบกระทะ เพื่อป้องกันอาหารติดกระทะ
10. อุตสาหกรรมชุบโลหะ
ใช้เป็นสารเคลือบผิวเพื่อให้ผิวโลหะมีความแข็งและให้ชั้นผิวเกิดความสวยงาม
11. อุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันและสกัดแร่
ใช้เป็นสารเคลือบผิวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของของเหลวที่ใช้สกัดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติด้วยการช่วยยับยั้งการระเหยของแก๊สโซลีน รวมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดแร่ทองแดงและทอง
12. อุตสาหกรรมทางการแพทย์
ใช้เป็นส่วนผสมทำวัสดุเทียมต่าง ๆ ที่ฝังในร่างกาย เคลือบฟิล์มX-rays เสื้อคลุมและผ้าคลุมสำหรับการผ่าตัด
13. อุตสาหกรรมผลิตสารกึ่งตัวนำ
ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอุปกรณ์เพื่อใส่ของเหลวหรือแก๊สที่มีฤทธิ์กัดกร่อนได้
14. อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษและบรรจุภัณฑ์
ใช้เคลือบผิวกระดาษและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษที่ใช้ห่อหุ้มอาหารเพื่อเพิ่มคุณสมบัติการกันน้ำมันและน้ำ
15. อุตสาหกรรมการผลิตสารโพลีเมอร์
ใช้เป็นสารช่วยในกระบวนการผลิตสารฟลูออโรโพลีเมอร์ เช่น โพลีเตตระฟลูออโรเอทิลีน (PTFE) เพอฟลูออโรอัลคอกซีอัลแคน (PFA) และโพลีไวนิลไอดีนฟลูออไรด์ (PVDF) เป็นต้น
16. อุตสาหกรรมสิ่งทอเครื่องหนัง และเครื่องเรือน
ถูกใช้ผลิตเสื้อผ้าในลักษณะเส้นใยที่มีรูพรุน รวมถึงใช้ตกแต่งหรือเคลือบผิววัสดุของหนัง พรมหรือผ้า เพื่อให้กันน้ำ ไขมัน ฝุ่น และคราบสกปรก เช่น เสื้อกันน้ำ รองเท้ากันน้ำ เฟอร์นิเจอร์หรือพรมป้องกันฝุ่น เป็นต้น
3. การปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
ความตระหนักต่อการปนเปื้อนสาร PFASs ในสิ่งแวดล้อมเริ่มต้นในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 20001 PFASs ถูกตรวจพบในหลากหลายตัวกลางสิ่งแวดล้อม โดยสิ่งแวดล้อมน้ำถือเป็นเส้นทางหลักของการแพร่กระจายและเป็นตัวกลางสุดท้ายในการรองรับ สาร PFASs ถูกตรวจพบในตัวอย่างน้ำที่เก็บจากแม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร ทะเลสาบ และอ่างเก็บน้ำในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงในแผ่นน้ำแข็ง ระบบบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ถูกบ่งชี้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของสาร PFASs ไปยังแหล่งน้ำต่าง ๆ อีกทั้งกระบวนการตกแบบ เปียก (Wet Deposition) ในรูปของน้ำฝนและหิมะ เป็นอีกเส้นทางการแพร่กระจายของสาร PFASs จาก ชั้นบรรยากาศลงสู่แหล่งน้ำ การศึกษาการปนเปื้อน ในระบบนิเวศวิทยาแหล่งน้ำทั้ง 3 ตัวกลาง ได้แก่ น้ำ ตะกอนท้องน้ำ และสัตว์น้ำที่อาศัยในแหล่งน้ำ นั้น แสดงให้เห็นการสะสมและถ่ายทอดสาร PFASs ผ่านระบบห่วงโซ่อาหาร ซึ่งการบริโภคสัตว์ น้ำเป็นเส้นทางรับสัมผัสสาร PFASs ที่สำคัญใน มนุษย์ รวมทั้งการรับสัมผัสจากอาหารชนิดต่าง ๆ และน้ำบริโภคอุปโภค ได้แก่ น้ำใต้ดินและน้ำ ประปา ซึ่งน้ำชะขยะจากหลุมฝังกลบเป็นอีกแหล่ง กำเนิดสำคัญที่ทำให้เกิดการปนเปื้อนสาร PFASs ในน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน
สาร PFASs ถูกตรวจพบ ในตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น เฟอร์นิเจอร์ พรม เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์บรรจุอาหาร วัสดุก่อสร้าง วัสดุ ตกแต่งรถยนต์ น้ำยาดูแลหรือเคลือบผิวผลิตภัณฑ์ รวมถึงในของเสียอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถูกปลดปล่อย ออกมาในสิ่งแวดล้อมระหว่างการใช้งานและการ กำจัดทิ้ง โดยถ้าวิธีการกำจัดไม่เหมาะสมอาจทำให้ สาร PFASs ถูกปลดปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ อาจเกิดจากสารตั้งต้น (precursors) ที่ ถูกปลดปล่อยระหว่างการผลิต ใช้งาน และการกำจัด ทิ้ง และถูกย่อยสลายในสิ่งแวดล้อม
สาร PFASs ในผลิตภัณฑ์หรือวัสดุเหล่านี้จะปนเปื้อนออกมาใน ลักษณะฝุ่นผงที่ตรวจพบตามพื้นผิวในอาคารบ้าน เรือน ซึ่งเป็นเส้นทางรับสัมผัสที่สำคัญในเด็กเล็ก และบางชนิดสามารถระเหยออกมาในอากาศภายใน อาคารที่ตรวจพบในบ้าน สถานที่ทำงาน โรงเรียน และในรถ ซึ่งส่งผลต่อการรับสัมผัสทางการ หายใจ สาร PFASs ความเข้มข้นสูงถูกตรวจพบใน ตัวอย่างอากาศที่เก็บจากบริเวณระบบบำบัดน้ำเสีย และพื้นที่อุตสาหกรรม ที่เป็นแหล่งกำเนิดสำคัญใน บรรยากาศทั่วไป นอกจากนี้ สาร PFASs ถูกตรวจ พบในบรรยากาศเหนือมหาสมุทรแอตแลนติกและ มหาสมุทรใต้ แสดงให้เห็นการแพร่กระจายของ สาร PFASs ไปในบรรยากาศทั่วโลก
4. ผลกระทบต่อสุขภาพ
มนุษย์มีความเสี่ยงต่อการรับสัมผัสสาร PFASs เข้าสู่ร่างกายได้หลายเส้นทาง สารประกอบ ฟลูออรีนในเลือดของมนุษย์ถูกรายงานครั้งแรก โดย Taves ในปี 1968 และต่อมานักวิทยาศาสตร์ ของบริษัท 3M ซึ่งใช้เครื่องมือวิเคราะห์คุณภาพ ขั้นสูงยืนยันการตรวจพบสาร PFOS และ PFOA ในตัวอย่างเลือดของมนุษย์และสัตว์ ส่งผลให้มี การเฝ้าระวังทางชีวภาพต่อการรับสัมผัสสารกลุ่ม PFASs ในมนุษย์อย่างต่อเนื่อง การทบทวนผล การศึกษาที่ผ่านมามีการตรวจพบสาร PFASs ในตัวอย่างเลือดของประชากรหลายประเทศทั่ว โลก เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา สเปน เยอรมนี นอร์เวย์ อิตาลี โปแลนด์ เบลเยียม สวีเดน เดนมาร์ก โคลอมเบีย บราซิล แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เกาหลี มาเลเซีย เป็นต้น รวมทั้งในตัวอย่าง น้ำนมและปัสสาวะ ยืนยันการรับสัมผัสสาร PFASs ของมนุษย์ ผลการศึกษาในกลุ่มมารดาและเด็กแรก คลอดพบความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของ สาร PFASs ในตัวอย่างเลือดของมารดากับเลือด ที่เก็บจากสายสะดือของทารก แสดงถึงการถ่ายทอด สาร PFASs ในระยะก่อนคลอดผ่านรกจากมารดา ไปยังทารกในครรภ์ และผลการศึกษาในกลุ่ม มารดาและเด็กพบการถ่ายทอดสาร PFASs ใน ระยะหลังคลอดผ่านการให้นมบุตร30 การศึกษา ครึ่งชีวิตของ PFOS และ PFOA ในเลือดมนุษย์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3.5-4.1 ปี และ 3.0-3.6 ปี ตามลำดับ28 ในขณะที่การกำจัดสาร PFOS และ PFOA ออกจากร่างกายโดยไตเป็นไปได้น้อยมาก31 ทำให้สารเหล่านี้สามารถตกค้างสะสมอยู่ในอวัยวะ ในร่างกาย ได้แก่ ตับ และไต การศึกษาความเป็น พิษของสาร PFASs ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในสัตว์ ทดลองโดยเฉพาะจากสาร PFOA และ PFOS ผล การศึกษายืนยันการเกิดพิษแบบเรื้อรังกับสัตว์ทดลอง ได้แก่ ความเป็นพิษต่อตับ ไต การเจริญเติบโต ภาวะ ภูมิคุ้มกัน การสืบพันธุ์ ต่อมไร้ท่อ รวมถึงมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม ค่าครึ่งชีวิตของสาร PFASs ในสัตว์ ทดลองมีระยะเวลาที่สั้นกว่าในมนุษย์และมีกลไกการ เกิดพิษที่แตกต่างกัน จึงมีความจำเป็นต้องศึกษา กลไกการเกิดพิษของสาร PFASs ในมนุษย์เพิ่ม เติมต่อไป สำหรับผลกระทบต่อมนุษย์มีผลการศึกษา ทางระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์ที่แสดงให้เห็นถึงความ สัมพันธ์ของระดับสาร PFASs บางชนิดในร่างกาย กับผลกระทบต่อสุขภาพ ได้แก่ การเจริญเติบโต ของทารกในครรภ์ การเกิดภูมิแพ้ ความสามารถ ในการทำงานของไต โรคหัวใจและหลอดเลือด การเพิ่มขึ้นของระดับไทรอยด์ฮอร์โมน และระดับ คอเลสเตอรอล สำหรับ PFOA ถูกจัดให้เป็นสาร ที่มีโอกาสก่อมะเร็งในมนุษย์ (กลุ่ม 2B) โดยองค์การ วิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC)
5. การดำเนินการควบคุม
จากผลการตรวจพบสาร PFOS และ PFOA ในเลือดของมนุษย์ ทำให้บริษัท 3M ประกาศ ยกเลิกการผลิตและใช้สารเหล่านี้ในปี 2000 โดย ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ในปี 2002 หลังจากนั้น บริษัทผู้ผลิตทั่วโลกได้พยายามทดแทนสาร PFASs สายยาวในกลุ่ม PFCAs และ PFSAs รวมถึง สารตั้งต้นของสารเหล่านี้ด้วยสาร PFASs สายสั้น หรือทดแทนด้วยสารกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ PFASs ซึ่ง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากคุณสมบัติ ที่ไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์และ สิ่งแวดล้อม2 ในปี 2006 US EPA ได้ริเริ่มโครงการเพื่อควบคุมการผลิตและการปล่อยสาร PFOA ออกสู่สิ่งแวดล้อม
และปี 2009 สาร PFOS และอนุพันธ์ ของ PFOS ถูกประกาศห้ามผลิตและใช้ภายใต้ อนุสัญญาสตอกโฮล์ม นอกจากนี้ กลุ่มประเทศ อเมริกาเหนือและยุโรปกำลังดำเนินการเสนอข้อ กฎหมายและจัดการความเสี่ยงเพื่อควบคุมสารกลุ่ม PFCAs ชนิดที่เป็นสายยาว ทั้งการจำกัดหรือห้าม การผลิตและใช้ รวมทั้งควบคุมการถือครองและ การปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม ประเทศหรือหน่วย งานต่าง ๆ ได้กำหนดค่ามาตรฐานของสาร PFOA และ PFOS
สถานการณ์ การปนเปื้อน PFASs ในสิ่งแวดล้อมประเทศไทย
จากการทบทวนผลการศึกษาในประเทศไทยที่ผ่านมาตรวจพบสาร PFASs ในตัวอย่างสิ่งแวดล้อม จำนวน 5 กลุ่ม รวม 20 ชนิด [
ดูรายชื่อ 20 ชนิด]
มีการศึกษาการปนเปื้อนสาร PFASs ในน้ำ จากตัวอย่างน้ำดิบในระบบน้ำประปา (ได้แก่ น้ำเข้าระบบ, ในถังทำน้ำใส, ระบบกรองทรายและน้ำผ่านการปรับปรุง) น้ำประปา และน้ำดื่มบรรจุขวด ในพื้นที่กรุงเทพฯ ผลการศึกษาตรวจพบสารกลุ่ม PFCAs และ PFSAs 5 ชนิด มีความเข้มข้นรวมอยู่ระหว่าง 3.31-25.79 ng/L โดยชนิดที่ตรวจพบมากที่สุดคือ PFOA
นอกจากนี้ กระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำประปาไม่สามารถกำจัดสาร PFASs ออกจากน้ำได้ และในน้ำดื่มบรรจุขวดมีความเข้มข้นสูงกว่าน้ำประปา
ในปีเดียวกันมีการศึกษาการปนเปื้อนสาร PFASs ในตัวอย่างน้ำจากระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลางของ นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวัน ออกจำนวน 2 แห่ง โดยเก็บตัวอย่างน้ำที่เข้าระบบ น้ำในถังเติมอากาศ น้ำในถังตกตะกอนขั้นที่ 2 และ น้ำออกจากระบบบำบัด (อย่างละ 10 ตัวอย่าง รวม 40 ตัวอย่าง) และตัวอย่างกากตะกอน (4 ตัวอย่าง) ผลการศึกษาพบสารกลุ่ม PFCAs และ PFSAs 10 ชนิด โดยมีค่าความเข้มข้นรวมอยู่ระหว่าง 661.8- 1,382.8 ng/L และพบว่าระบบบำบัดน้ำเสียทั้ง 2 แห่ง ไม่สามารถกำจัดสาร PFASs ออกจากน้ำ เสียได้
ต่อมาในปี พ.ศ.2554 มีการตรวจสอบการปน เปื้อนสาร PFASs ในตัวอย่างน้ำจากระบบบำบัดน้ำ เสียชุมชน จำนวน 7 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยทั้งหมดเป็นระบบตะกอนเร่ง (Activated Sludge) ผลการศึกษาพบสารกลุ่ม PFCAs และ PFSAs 11 ชนิด ความเข้มข้นรวมในตัวอย่างน้ำเข้า และน้ำออกจากระบบบำบัดมีค่าระหว่าง 9.4-18.4 ng/L และ 12.7-63.6 ng/L ตามลำดับ ชนิดที่พบ การปนเปื้อนมากที่สุด คือ PFOS และ PFOA และ ผลการศึกษาสรุปว่ากระบวนการบำบัดน้ำเสียระบบ ตะกอนเร่งไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะกำจัดสาร PFASs ออกจากน้ำเสียได้
นอกจากนี้ ในระหว่าง ปี พ.ศ. 2556-2557 มีการตรวจวัดสาร PFASs ใน ตัวอย่างน้ำผิวดินบริเวณปากแม่น้ำสายหลัก 4 สาย (แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และ แม่น้ำบางปะกง) และบริเวณรอบนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดสมุทรปราการ ลำพูน และระยอง
ผลการ ศึกษาตรวจพบการปนเปื้อนสาร PFOA ในแม่น้ำสาย หลักอยู่ระหว่าง 1.4-16.9 ng/L ส่วนสาร PFOS อยู่ระหว่างตรวจไม่พบจนถึง 53.5 ng/L
ส่วน ในตัวอย่างน้ำผิวดินบริเวณรอบนิคมอุตสาหกรรม ตรวจพบการปนเปื้อนสูงกว่าแม่น้ำสายหลักโดยสาร PFOA และ PFOS มีค่าอยู่ระหว่าง 11.7-118.7 ng/L และ 22.8-434.5 ng/L ตามลำดับ
และ ในปี พ.ศ. 2558 ศึกษาการปนเปื้อนสาร PFASs ในตัวอย่างน้ำประปาในพื้นที่ กทม. โดยตรวจพบ สารกลุ่ม PFCAs และ PFSAs จำนวน 6 ชนิด ความเข้มข้นรวมมีค่าระหว่าง 0.58-1.15 ng/L ผลการศึกษานี้พบว่ากระบวนการปรับปรุงคุณภาพ น้ำประปาทั่วไป ได้แก่ การสร้างตะกอน การรวม ตะกอน การกรองและการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนไม่ สามารถกำจัดสาร PFASs ออกจากน้ำดิบได้
ใน ขณะที่กระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำขั้นสูง ได้แก่ การกรองด้วยถ่านกัมมันต์ (GAC) และรีเวิร์สออส โมสิส (RO) สามารถกำจัด PFASs ได้ประมาณ ร้อยละ 86
นอกจากผลการศึกษาในสิ่งแวดล้อม น้ำแล้ว มีการวิจัย PFASs ในตัวอย่างฝุ่นพื้นผิว ที่เก็บจากบ้านเรือนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและ นครศรีธรรมราช โดยตรวจพบสารกลุ่ม PFCAs, PFSAs, FASAs และ FASEs จำนวน 8 ชนิด มีความเข้มข้นรวมระหว่าง 54-1,310 ng/g โดยชนิดที่พบการปนเปื้อนสูงสุดคือ EtFOSA
และในปี พ.ศ.2557 ศึกษาการปนเปื้อนสาร PFASs ในตัวอย่างอากาศในบรรยากาศทั่วไป (อากาศ ภายนอกอาคาร) จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ บริเวณพื้นที่ ชุมชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล บริเวณ ระบบบำบัดน้ำเสียรวมของนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้ง ตัวอย่างอากาศภายในอาคารจำนวน 6 แห่ง ได้แก่ สำนักงาน บ้านพักอาศัย คอนโดมิเนียม ร้านถ่าย เอกสาร ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ และห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษาตรวจพบสารกลุ่ม FTOHs และ PFCAs จำนวน 10 ชนิด ความเข้มข้นรวมของ FTOHs มีค่า ตั้งแต่ 1,690- 13,030 pg/m3 ซึ่งสูงกว่าค่าความ เข้มข้นรวมของ PFCAs ที่มีค่าระหว่าง 4-10 pg/m3 โดยชนิดที่พบการปนเปื้อนสูงสุด คือ 10:2 FTOH
บทสรุปและข้อเสนอแนะ ในประเทศที่พัฒนาแล้วโดยเฉพาะในทวีป ยุโรปและอเมริกาเหนือ มีผลการศึกษาที่ยืนยันการ ปนเปื้อนสาร PFASs ในสิ่งแวดล้อม และผลกระทบ ที่เกิดขึ้นจากการนำสาร PFASs ไปใช้ประโยชน์ ความตระหนักถึงอันตรายและความเสี่ยงต่อสุขภาพ ของประชาชนจากการรับสัมผัสสารกลุ่มนี้ ส่งผลให้ มีการควบคุมการผลิตและใช้งานสาร PFASs ในหลายประเทศ สำหรับผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสาร PFASs ในประเทศไทย มีเพียงการตรวจสอบการปน เปื้อนในตัวอย่างสิ่งแวดล้อม ได้แก่ น้ำ ฝุ่นพื้นผิว และ อากาศ โดยผลการศึกษาที่ผ่านมาบ่งชี้ ถึงการปนเปื้อนสาร PFASs ในทุกตัวกลางที่ตรวจ สอบ ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมสาร PFASs ในสิ่ง แวดล้อมของประเทศในระยะยาวหากปราศจากการ ควบคุมแหล่งกำเนิด และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อ คนไทยจากการรับสัมผัสสาร PFASs ผ่านตัวกลาง สิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อน แต่ปัจจุบันยังไม่มีผล การศึกษาที่ยืนยันถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น กลายเป็นภัย เงียบที่คนไทยต้องเผชิญ การศึกษาวิจัยสาร PFASs ในประเทศไทยยังมีอยู่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา แหล่งกำเนิดทั้งในส่วนของการผลิตและการใช้งาน ในอุตสาหกรรมและในผลิตภัณฑ์ที่มีสาร PFASs เป็นส่วนประกอบ รวมถึงการตรวจสอบการปนเปื้อน จากแหล่งกำเนิดสำคัญโดยเฉพาะน้ำชะขยะจาก หลุมฝังกลบรวมถึงน้ำใต้ดินที่มีการใช้สำหรับบริโภค ของประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบ การศึกษาการ ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมที่จำกัดพื้นที่ศึกษาเฉพาะ ในกรุงเทพมหานครและนิคมอุตสาหกรรมบางแห่ง ทำให้ขาดข้อมูลภาพรวมในระดับประเทศ และ ไม่ครอบคลุมตัวกลางสิ่งแวดล้อมที่จะนำไปสู่การ ประเมินการรับสัมผัสโดยเฉพาะการปนเปื้อนสาร PFASs ในตัวอย่างอาหารที่ถือเป็นเส้นทางการรับ สัมผัสที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาการปน เปื้อนสาร PFASs ในตัวอย่างทางชีวภาพ เช่น ใน ตัวอย่างเลือดโดยเฉพาะของประชาชนในพื้นที่ที่ตรวจ พบการปนเปื้อนสาร PFASs ในสิ่งแวดล้อม เป็นต้น แม้ว่าการศึกษาสาร PFASs ในประเทศไทยจะมีข้อ จำกัดทั้งในส่วนของบุคลากร เครื่องมือในการตรวจ วิเคราะห์ และงบประมาณในการดำเนินการ แต่ด้วย ลักษณะอันตรายทั้งการตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อม การสะสมในเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิต และความเป็นพิษ ของสาร PFASs ทำให้การศึกษาวิจัยสารกลุ่มนี้ใน ประเทศไทยยังมีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อให้มีฐาน ข้อมูลความรู้ที่มากพอในการสนับสนุนการออกข้อ กำหนดหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ สำหรับควบคุมการผลิต และใช้สาร PFASs อย่างจริงจัง และป้องกันผลกระ ทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อให้ภัยเงียบที่ว่าเกิด ขึ้นจากลักษณะความเป็นอันตรายของสาร PFASs เท่านั้น ไม่ใช่เป็นภัยที่เกิดจากการละเลย
จิรา คงปราณ
สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี
สำนักวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
The Public Health Journal of Burapha University : Vol.13 No.2 July - December 2018
ปีที่ 13 ฉบับที่ 2 (2561): กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
เผยแพร่แล้ว: ก.ย. 26, 2018 คำสำคัญ: สารเพอร์ฟลูออโรอัลคิล สารโพลีฟลูออโรอัลคิล การปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ความเสี่ยงต่อสุขภาพ