แต่ถ้าว่ากันถึงอาการของโรคที่ผู้คนมักสังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดเมื่อฝนตก เชื่อว่าอาการของ ‘ไข้หวัด’ น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรก แต่ในโมงยามนี้ที่โรคภัยรอบตัวมีทั้งไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และการติดเชื้อโควิด-19 เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าอาการไข้หวัดที่เราเคยเข้าใจเกิดขึ้นจากโรคไหนกันแน่
โรงพยาบาลวิมุต ได้ให้ข้อมูลอธิบายความแตกต่างของทั้ง 3 โรคนี้ ไว้เพื่อเป็นข้อสังเกต ดังนี้
อาการโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16
????ไข้สูง
????ไอ
????จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส
????เยื่อบุตาอักเสบหรือตาแดง
แต่สำหรับใครที่มีอาการดังกล่าวก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะตามรายงานของ WHO โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 ถือว่าไม่มีความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตสูงเท่าสายพันธุ์เดลต้า ดังนั้นสามารถรักษาตามอาการได้ รวมถึงสำหรับบุคลลทั่วไปก็ควรได้รับวัคซีน mRNA เข็มกระตุ้นเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในตัวด้วย
อาการไข้หวัดใหญ่
????มีไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ภายใน 1-3 วันหลังรับเชื้อ
????ปวดศีรษะ
????ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย
????มีน้ำมูกใส
????ไอแห้ง คันคอ เจ็บคอ
????เบื่ออาหาร
ตามปกติแล้วเมื่อป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยจะสามารถหายจากอาการดังกล่าวได้เอง ดังนั้นหากมีอาการไม่มากก็สามารถรักษาตามอาการอยู่ที่บ้านได้ แต่ในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน หรือมีอาการไข้สูงมากจนเพ้อ ซึม หายใจหอบ หรือแน่นหน้าอก ก็ควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพราะอาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนหรือสาเหตุจากโรคอื่นๆ
หรือในกรณีของการป้องกัน เราขอแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์เพื่อสุขภาพในระยะยาวนะ
อาการไข้เลือดออก
????มีไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส เกิน 2 วัน จากนั้นวันที่ 4 ไข้ลดลง แต่ผิวแดง หน้าแดง ตาแดง ผิวแห้ง และหิวน้ำบ่อย
????ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว
????อ่อนเพลีย ซึมลง
????เบื่ออาหาร อาเจียน
????อาจพบจ้ำเลือด หรือจุดเลือดตามผิวหนัง
????ปัสสาวะสีเข้ม
????อุจจาระมีสีดำ
ไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสโดยมียุงลายเป็นพาหะ ดังนั้นจึงสามารถพบได้ในทุกช่วงวัยและเวลา โดยเฉพาะฤดูฝนที่ยุงลายชุกชุม ซึ่งอาการของโรคแม้ดูไม่รุนแรงในช่วงแรก แต่นี่ถือเป็นโรคที่สามารถส่งผลถึงชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้นหากมีอาการก็ควรพบแพทย์ทันที ห้ามซื้อยากินเอง และมาเข้าสู่กระบวนการการรักษาอย่างเร็วที่สุด โดยการฉีดวัคซีน CYD-TDV ครบทั้ง 3 เข็มสามารถป้องกันและลดอาการรุนแรงของโรคได้เช่นกัน
ถึงฤดูฝนจะมา แต่เราสามารถอยู่ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บได้ ขอแค่เริ่มสังเกตตัวเองและคนรอบตัวเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว วิมุตขอเอาใจช่วยและอยู่ตรงนี้คอยดูแลสุขภาพของทุกคนอยู่เสมอนะ
ข้อมูลและภาพจาก รพ.วิมุต
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ คืออะไร
นับตั้งแต่มีการแยกเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ครั้งแรกในปีค.ศ. 1933 วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ถูกผลิตขึ้น และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เหมาะสมและตรงกับการระบาดของสายพันธุ์ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ดังนี้
1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิด 1 สายพันธุ์ ประกอบไปด้วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A สายพันธุ์ H1N1
2. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิด 2 สายพันธุ์ ประกอบไปด้วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A 1 สายพันธุ์และ ชนิด B 1 ตระกูล
3. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิด 3 สายพันธุ์ ประกอบด้วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A 2 สายพันธุ์ คือ H1N1 , H3N2 และสายพันธุ์ B 1ตระกูล
จนกระทั่งปี ค.ศ. 2012 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้เพิ่มไวรัสสายพันธุ์ B เข้าไปอีก 1 ตระกูล ทำให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ครอบคลุม 4 สายพันธุ์ ซึ่งประกอบด้วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A 2 สายพันธุ์ คือ H1N1 , H3N2 และชนิด B 2 ตระกูลคือ Victoria, Yamagata
ข้อมูลระบาดวิทยาของไวรัสไข้หวัดใหญ่ในอดีต พบว่าเกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ A (H1N1,H3N2) เป็นหลัก แต่ในปัจจุบันพบว่า สายพันธุ์ B เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยเพิ่มขึ้น และพบมีการระบาดร่วมกัน 2 ตระกูล (lineage) คือ Victoria และ Yamagata ซึ่งเดิมองค์การอนามัยโลกจะเลือกไวรัสสายพันธุ์ A 2 สายพันธุ์ และ สายพันธุ์ B เพียง 1 ตระกูลมาใช้ในการผลิตวัคซีน หากสายพันธุ์B ที่มีในวัคซีนไม่ตรงกับสายพันธุ์ที่ระบาด จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ที่ไม่มีอยู่ในวัคซีน และอีกประเด็นที่สำคัญคือ ไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ทำให้ผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงที่จะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และเสียชีวิตได้พอๆกับไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A โดยเฉพาะในเด็กและในผู้สูงอายุ ดังนั้นการใช้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่มีไวรัสครบทั้ง 4 สายพันธุ์จะกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ที่ครอบคลุมเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่อาจระบาดในปีนั้นได้มากกว่า ทำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ลดลงมากกว่า 1