สถานการณ์สาธารณสุขชายแดนไทย
การเข้ามาใช้บริการสาธารณสุขของคนต่างด้าวในไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเ พาะในพื้นที่ชายแดน ซึ่งต้อง แบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บไม่ได้จากคนต่างด้าวคิดเป็นมูลค่าสูง จึงเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลต่อสังคมและ กระทบต่อการบริหารจัดการทรัพยากรของโรงพยาบาลชายแดน อย่างไรก็ตาม การด่าเนินการดังกล่าว มีความจ่าเป็น ในฐานะด่านหน้าป้องกันโรคระบาดที่จะเข้าสู่ประเทศและการยึดหลักปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ดังนั้น จึงมีประเด็น ที่ต้องให้ด่าเนินการเพื่อให้สาธารณสุขชายแดนมีความมั่นคงมากขึ้น
ภาพรวม
มีจำนวนคนต่างด้าวเข้ามาใช้บริการในระบบสาธารณสุขชายแดนของไทย 3.8 ล้านครั้ง ในจำนวนนี้ 49.2% ใช้สิทธิกองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว ขณะที่มีคนต่างด้าวที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพ เข้ารับบริการถึง 1.5 ล้านครั้ง ในจำนวนนี้ 1.8% ไม่สามารถชำระค่าบริการได้
สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดชายแดน
จำแนกตามการเรียกเก็บ ปี งบประมาณ 2565 - 2567
ปี 2567 มีค่าใช้จ่าย จำนวน 96.7 หมื่น ล้านบาท "ที่เรียกเก็บไม่ได้" ในจำนวนนี้ 81.1% ของมูลค่า มาจากชายแดนไทย - เมียนมา (โดยเฉพาะ จ.ตาก) ที่มีคนต่างด้าวเข้ารับบริการมากที่สุด (ราว 92,083 ล้านบาท)
คนไทย 93.9% กังวลต่อการสูญเสียงบประมาณของประเทศให้คนต่างด้าว
สาเหตุที่ต้องดูแลคนต่างด้าว
มี 3 ประการสำคัญ คือ
1. ชายแดนประเทศเมียนมาตรงข้ามกับ จ.ตาก ขาดแคลนสถานพยาบาล รวมทั้งการให้บริการที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ทำให้คนต่างด้าวต้องข้ามแดนมารักษาพยาบาลที่ไทย
2. คนต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิการรักษาและมารับบริการสาธารณสุขในไทย โดยในบางกลุ่มกำเนิดไทย ซึ่งควรจะได้รับสิทธิ ท.99
3. โรงพยาบาลชายแดนไทย ต้องเป็นด่านหน้าในการรับมือและป้องกันการแพร่ระบาดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อร้ายแรง
ผลกระทบต่อโรงพยาบาลชายแดน
1. ภาระในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
2. บุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ
3. ภาระทางการเงินของโรงพยาบาลชายแดนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีแนวโน้มเผชิญกับวิกฤตทางการเงินมากขึ้น
ประเด็นที่ต้องพิจารณาเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
1. การจัดสรรทรัพยากรสาธารณสุขให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
2. การสร้างกลไกในการยกระดับสาธารณสุขชายแดน
3. การเร่งรัดการพิสูจน์สิทธิในกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิให้ครบถ้วน
ที่มา
สภาพัฒน์
ระบบสาธารณสุขของไทย เป็นระบบที่มีศักยภาพในการรักษาและการให้บริการที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศเพื่อนบ้านชายแดน ทั้งเมียนมา ลาว และกัมพูชา ส่งผลให้ประชากรจากทั้ง 3 ประเทศดังกล่าว เข้ามาใช้บริการการรักษาในไทยเป็นจ านวนมาก โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีคนต่างด้าวเข้ามาใช้บริการ สาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนทั้งสิ้น 8.7 แสนครั้ง โดยร้อยละ 19.3 เป็นคนต่างด้าวที่มีประกันสุขภาพเอกชนหรือ ช าระค่ารักษาพยาบาลเอง ร้อยละ 16.8 เป็นคนต่างด้าวที่ใช้สิทธิผ่านกองทุนบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิหรือ บุคคลไร้รัฐ (ท.99) ร้อยละ 6.8 เป็นคนต่างด้าวที่ใช้สิทธิผ่านกองทุนประกันสังคม และมีเพียงร้อยละ 4.3 ที่ใช้สิทธิ ผ่านกองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว ขณะที่คนต่างด้าวส่วนใหญ่หรือร้อยละ 52.8 เป็นคนต่างด้าว ที่เข้ามาใช้บริการที่สามารถช าระค่ารักษาได้บางส่วนหรือไม่สามารถช าระค่ารักษาได้ และคนต่างด้าวที่ไม่ระบุสิทธิ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้จากคนต่างด้าว25 ในพื้นที่ชายแดนไทย พบว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีมูลค่าถึง 2,315 ล้านบาท26 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ถึงร้อยละ 12.6 โดยกว่าร้อยละ 76.3 ของมูลค่าดังกล่าวมาจากพื้นที่ชายแดนไทย - เมียนมา เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีจ านวนคนต่างด้าวเข้ามารับบริการ มากที่สุด เมื่อเทียบกับชายแดนอื่น สถานการณ์ข้างต้น สร้างความกังวลกับคนไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะ ความกังวลต่องบประมาณที่ต้องมาสนับสนุนบริการดังกล่าว สอดคล้องกับผลการส ารวจความเห็นต่อสิทธิแรงงาน ต่างชาติ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศระหว่างวันที่ 10 – 12 ตุลาคม 2567 ของ ส านักวิจัยซูเปอร์โพล ที่พบว่า คนไทยกว่าร้อยละ 93.9 มีความกังวลมากถึงมากที่สุดต่อการเสียงบประมาณของ ประเทศให้กับคนต่างด้าวในการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการด้านต่าง ๆ เช่น สุขภาพ การศึกษา รัฐสวัสดิการ ฯลฯ
25 ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บไม่ได้จากคนต่างด้าว ครอบคลุมทั้งคนที่มีสิทธิและไม่มีสิทธิการรักษา โดยกรณีของคนมีสิทธิการรักษาเกิดขึ้นจากการที่โรงพยาบาล ให้การรักษาที่นอกเหนือจากเกณฑ์การจ่ายที่กองทุนต่าง ๆ ก าหนด ซึ่งผู้รับบริการไม่สามารถจ่ายส่วนต่างได้ ส่วนคนต่างด้าวที่ซื้อประกันสุขภาพเอกชน แต่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ เกิดจากความคุ้มครองของประกันไม่ครอบคลุมหรือเกินวงเงิน ซึ่งผู้มีประกันไม่สามารถช าระเงินส่วนต่างได้
26 เป็นข้อมูลที่ปรับจากหนังสือ สธ. 0210.05/4756 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ส่งมาครั้งแรก เป็นข้อมูลชุดใหม่ที่ส่งมาอีกครั้งตา มหนังสือ สธ. 0210.05/6021 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568 อย่างไรก็ตาม จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับหน่วยบริการสาธารณสุขของจังหวัดตาก โรงพยาบาลอุ้มผาง และโรงพยาบาลท่าสองยาง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดกับชายแดนประเทศเมียนมาที่กำลังเผชิญกับการเข้ามาใช้บริการจากคนต่างด้าวเป็นจำนวนมาก โดยมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้จากคนต่างด้าว อยู่ที่ 27.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.7 ต่อค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลทั้งหมดของคนต่างด้าว ของจังหวัดตากในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พบข้อเท็จจริงที่เชื่อมโยงกับปัญหาที่เกิดขึ้นดังนี้
1)
ชายแดนประเทศ เมียนมาตรงข้ามกับจังหวัดตากขาดแคลนสถานพยาบาล รวมทั้งการให้บริการที่มีข้อจ่ากัดและยังขาดประสิทธิภาพ ทำให้คนต่างด้าวจ่าเป็นต้องข้ามแดนเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย โดยกรณีของอำเภอท่าสองยาง และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก มีพื้นที่ติดกับรัฐกะเหรี่ยงของประเทศเมียนมา ซึ่งไม่มีสถานพยาบาล แพทย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย อีกทั้งคนต่างด้าวที่ข้ามแดนมาทำการรักษา ส่วนใหญ่มีอาการป่วยหนักและมีฐานะยากจน ทำให้ไม่สามารถชำระค่ารักษาพยาบาลได้
2)
คนต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิในการรักษาและมารับบริการสาธารณสุขในประเทศไทย ในความเป็นจริงบางกลุ่มเป็นคนที่เกิดในประเทศไทย ซึ่งควรจะได้รับสิทธิ ท.99 อาทิ กรณีของจังหวัดตาก ซึ่งจากข้อมูลของสำนักสาธารณสุขจังหวัดตาก ปี 2568 พบว่า มีประชากรรวมประมาณ 9.7 แสนคน ซึ่งเกือบครึ่งหรือร้อยละ 43.2 เป็นคนต่างด้าว อย่างไรก็ตาม กว่า 2 ใน 5 ของประชากรต่างด้าวเป็นคนต่างด้าวที่ไม่ได้อยู่ในระบบทะเบียน ซึ่งบางส่วนอาจมีภูมิลำเนาอยู่ในไทยมาตั้งแต่แรก แต่ยังเข้าไม่ถึงสิทธิ ท.99
27 และ
3)
โรงพยาบาลชายแดนไทยต้องเป็นด่านหน้าในการรับมือและป้องกัน การแพร่ระบาดของโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อร้ายแรงไม่ให้ระบาดในประเทศไทย ซึ่งหลายกรณี แพทย์ตามโรงพยาบาลชายแดนจำเป็นต้องไปตรวจรักษาและให้บริการในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ การข้ามแดนไปรักษาอหิวาตกโรคในฝั่งเมียนมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดของโรค รวมทั้ง ต้องรักษาการเจ็บป่วยให้กับคนต่างด้าว เพื่อไม่ให้เกิดต้นทุนในการรักษาที่สูงขึ้นจากการเจ็บป่วยหนัก เช่น โรควัณโรค ที่มีผู้ป่วยในกลุ่มคนต่างด้าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงปี 2564 - 2567 โดยในปี 2567 มีจำนวนถึง 474 ราย หรือมีสัดส่วนร้อยละ 54.4 มากกว่า เมื่อเทียบกับผู้ป่วยคนไทย ซึ่งหากมีการรักษาที่รวดเร็ว นอกจากจะป้องกันการแพร่ระบาดได้แล้ว ยังมีต้นทุนการรักษาที่ต่ำประมาณ 3,000 – 4,000 บาท แต่หากไม่ทำการรักษา จะเกิดภาวะดื้อยา ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่าย ในการรักษาเพิ่มขึ้นกว่า 200,000 บาท ในทำนองเดียวกัน โรคคอตีบ ซึ่งสามารถให้วัคซีนได้ตั้งแต่เด็กและมีต้นทุนวัคซีนต่ำกว่าการรักษาภายหลังการเป็นโรค
27 ภาพรวมงบประมาณต่อหัวสำหรับผู้มีสิทธิ ท.99 ลดลงจาก 1,546 บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เป็น 833 บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 คำนวนอัตราต่อหัวของผู้มีสิทธิ ท.99 คำนวณจากสัดส่วนของงบประมาณที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลได้รับการจัดสรร โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อยู่ที่ร้อยละ 60 และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 อยู่ที่ร้อยละ 40ผลกระทบต่อโรงพยาบาลชายแดน
จากสาเหตุดังกล่าว ทำให้โรงพยาบาลชายแดนมีภาระในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และภาระงานมากขึ้นจาก จำนวนแพทย์ที่ไม่เพียงพอ โดยหากพิจารณากรณีของจังหวัดตากจากดัชนีต้นทุนการรักษา (Summed Adjusted Relative Weight)28 ซึ่งในทางสาธารณสุขใช้วัดระดับภาระงานและทรัพยากรที่โรงพยาบาลใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วย พบว่า ในปี 2567 คนต่างด้าวที่เป็นผู้ป่วยในมีต้นทุนการรักษาอยู่ที่ร้อยละ 33.1 ของผู้ป่วยในทั้งหมด ซึ่งหมายถึง ประมาณ 1 ใน 3 ของต้นทุนรวม (ทรัพยากรบุคคล วัสดุอุปกรณ์ งบประมาณ และเวลา) ที่ใช้ในการดูแลรักษาคนไข้ที่ต้องนอนโรงพยาบาลถูกใช้ไปกับผู้ป่วยที่เป็นคนต่างด้าว ขณะเดียวกันหากพิจารณาจำนวนวันนอนรวม ยังพบอีกว่า เกือบครึ่งหรือร้อยละ 45.6 เป็นคนต่างด้าวไร้สิทธิ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ และมีสัดส่วนการครองเตียงสูงกว่าผู้ป่วยในกลุ่มมีสิทธิการรักษาประมาณหนึ่งเท่าตัวตลอดมา นอกจากนี้ อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรของจังหวัดตาก ในปัจจุบันอยู่ที่ 1 : 2,864 คน ซึ่งได้รับการจัดสรรโดยพิจารณา เฉพาะจากจำนวนประชากรไทยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากรวมประชากรต่างด้าวในพื้นที่เข้าไปด้วย อัตราส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นถึง 1 : 5,122 คน สูงกว่าอัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรในภาพรวม ทั้งประเทศ 29 เกือบ 6 เท่าตัว ซึ่งการที่บุคลากรของโรงพยาบาลต้องทำงานหนักเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียด และความเหนื่อยล้า ทั้งทางร่างกายและจิตใจที่ส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการ ขณะเดียวกัน ภาระทางการเงินของโรงพยาบาลชายแดนยังเพิ่มขึ้น อาทิ กรณีโรงพยาบาลชายแดน 5 แห่ง ที่มีอาณาเขตติดกับประเทศเมียนมา30 มีค่าใช้จ่ายด้านสังคมสงเคราะห์31 เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีมูลค่า อยู่ที่ 132.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่อยู่ที่ 101.9 ล้านบาท ถึงร้อยละ 30.4 ซึ่งเกือบครึ่งหรือ ร้อยละ 45.6 ของรายจ่ายดังกล่าวเป็นของโรงพยาบาลอุ้มผาง โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 60.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ถึง 1.1 เท่า และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินบำรุงคงเหลือหลังหักหนี้ของโรงพยาบาลอุ้มผางติดลบสูงถึง 26.3 ล้านบาท
นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีค่าใช้จ่ายบางรายการที่ไม่สามารถเบิกจ่ายจากงบประมาณได้ โดยเฉพาะงบประมาณที่ต้องใช้ไปในพื้นที่ชายแดนเมียนมา อาทิ การจัดตั้งศูนย์กักกันโรคในช่วง COVID-19 การลงพื้นที่สำรวจการระบาดของโรคไอกรนและโรคเท้าช้างในหมู่บ้านฝั่งเมียนมา เพื่อควบคุมโรคและลดการเดินทางของคนต่างด้าวที่ข้ามมารักษาในไทย ทำให้โรงพยาบาลชายแดนส่วนใหญ่ จำเป็นต้องขอรับเงินบริจาคจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเพื่อใช้เป็นทุนในการดำเนินภารกิจดังกล่าว
28 Summed Adjusted Relative Weight หรือ Sum Adjust RW หมายถึง ผลรวมของต้นทุนการรักษา ที่พิจารณาจากระดับความหนักเบา ความซับซ้อน และค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการรักษาโรค ซึ่งร้อยละของต้นทุนสูงขึ้นจะสะท้อนถึงระดับระดับภาระงานของบุคลากรที่มากขึ้นตามไปด้วย
29 อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรในภาพรวมทั้งประเทศอยู่ที่ 1 : 922 คน
30 โรงพยาบาลแม่สอด โรงพยาบาลแม่ระมาด โรงพยาบาลท่าสองยาง โรงพยาบาลพบพระ และโรงพยาบาลอุ้มผาง
31 ค่าใช้จ่ายสังคมสงเคราะห์ คือ ค่าใช้จ่ายกรณีคนไข้ที่ไม่สิทธิใด ๆ และไม่มีเงินช าระค่ารักษพยาบาล ซึ่งได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองและได้รับอนุมัติ ให้การสงเคราะห์แล้ว
จะเห็นได้ว่า การดำเนินงานของโรงพยาบาลชายแดน โดยเฉพาะจังหวัดตาก แม้จะมีผลต่อภาระงบประมาณและบุคลากรของไทย แต่มีความจำเป็นในการป้องกันโรคระบาดต่าง ๆ ไม่ให้เข้ามายังประเทศไทย อีกทั้ง ยังเป็นการดำเนินการตามหลักเหตุผลทางมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่แพทย์จะไม่เลือกปฏิบัติ ต่อเชื้อชาติ ภาษา หรือศาสนาฯ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของโรงพยาบาลชายแดนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จำเป็นต้องพิจารณาประเด็น ดังต่อไปนี้
1. การจัดสรรทรัพยากรสาธารณสุขให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ทั้งทรัพยากรบุคคลและงบประมาณ ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากเกณฑ์จัดสรรทรัพยากรด้านสาธารณสุขที่ส่วนใหญ่เป็นแบบ One size fit all มิได้คำนึงถึงบริบทของความแตกต่างของแต่ละพื้นที่เท่าที่ควร ทำให้การกำหนดอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่หรืองบประมาณของแต่ละโรงพยาบาลชายแดนถูกจัดสรรโดยอิงจากจำนวนประชากรไทยในพื้นที่ โดยไม่ได้นำประชากร ต่างด้าวที่อยู่นอกระบบประกันสุขภาพมาประกอบการพิจารณา รวมถึงอุปสรรคในการทำงานของบุคลากร อาทิ ความยากลำบากในการเดินทางของเจ้าหน้าที่ในการให้บริการเชิงรุกในพื้นที่ ซึ่งมีความห่างไกลและทุรกันดาร ทำให้บุคลากรในพื้นที่ชายแดนมีภาระงานเกิน (Overload) จนบุคลากรบางส่วนขอย้ายไปปฏิบัติงานในพื้นที่อื่น หรือเกิดปัญหาบุคลากรรั่วไหล นอกจากนี้ อาจจัดสรรทุนการศึกษาในสาขาทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่นักเรียนในพื้นที่ เพื่อให้กลับมาเป็นทรัพยากรบุคคลประจำพื้นที่ รวมถึงการอบรมหลักสูตรการดูแลสาธารณสุขเบื้องต้นแก่คนในพื้นที่ เพื่อลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์
2. การสร้างกลไกความร่วมมือในการยกระดับสาธารณสุขชายแดน โดยปัจจุบันประเทศไทย มีแผนปฏิบัติการสาธารณสุขชายแดน พ.ศ. 2565 – 2570 เป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับสาธารณสุขชายแดนและความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีแนวทางที่สำคัญ คือ การยกระดับสาธารณสุขในพื้นที่และการสร้างความร่วมมือระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการฝึกอบรม ฯลฯ ซึ่งต้องมีการเร่งรัด การดำเนินการตามเป้าประสงค์ของแผนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอาศัยกลไกภาคีเครือข่ายทั้งภายในและต่างประเทศ อาทิ องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์กร NGOs สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เครือข่ายอาสาสมัคร และมูลนิธิต่าง ๆ ในพื้นที่ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับสาธารณสุขชายแดนทั้งฝั่งในไทย และประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ระบบสาธารณสุขระดับปฐมภูมิแข็งแรงและสามารถพึ่งตัวเองได้
3. การเร่งรัดการพิสูจน์สิทธิในกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิให้ครบถ้วน โดยกลุ่มที่สามารถ ใช้สิทธิ ท.99 มีอยู่ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่คณะรัฐมนตรีรับรองสถานะให้อาศัยอยู่ถาวรตามมติ ครม. ปี 2553 และ กลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ชั่วคราวเพื่อรอกระบวนการแก้ปัญหา หรือกลุ่มที่มีปัญหาการส่งกลับ ซึ่งบุตรหลานของ ทั้งสองกลุ่มจะได้รับสิทธิ ท.99 ไปด้วย ทำให้ปัจจุบันผู้มีสิทธิ ท.99 มีจำนวนเพิ่มขึ้น และภาครัฐต้องใช้จ่ายงบประมาณเกินกว่าที่งบประมาณตั้งไว้ทุกปี อย่างไรก็ตาม ยังมีคนตกหล่นที่เป็นคนไทยแต่ไร้สิทธิ รวมทั้งคนต่างด้าว ที่แอบอ้างสิทธิ ซึ่งหากมีการพิสูจน์สิทธิให้ชัดเจน จะทำให้คนไทยได้รับสิทธิที่ควรได้ ทั้งนี้ การพิสูจน์สิทธิอาจใช้กลไกภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนช่วยในการประสานการดำเนินการ ดังเช่นในพื้นที่อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ สสส. ร่วมกับภาคประชาสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการในการพิสูจน์สิทธิกับคนในพื้นที่ ซึ่งสามารถลดระยะเวลาในการดำเนินการลงจาก 10-20 ปี เหลือเพียงไม่เกิน 12 เดือน
ข้อมูลจาก
รายงานรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4/2567 สภาพัฒน์ฯ
โปรดใช้ถ้อยคำสุภาพ เหมาะสม เพื่อบรรยากาศที่ดีในการสนทนา และแบ่งปันข้อมูลอันมีคุณค่าต่อกัน