กรุงเทพมหานคร -7 มีนาคม 2568 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมกับมูลนิธิมะเร็งตับ ร่วมกันจัดงาน Voice of Liver ฟังเสียงตับ รับมือมะเร็ง ครั้งที่ 4 บูรณาการความร่วมมือเอาชนะมะเร็งตับ รวมพลัง ฟังเสียงผู้ป่วย ช่วยสร้างโอกาสในการรักษาและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลาม เนื่องในโอกาสวันมะเร็งโลก 2568 โดยมี ศ.เกียรติคุณ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รักษาการรองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร.อ.นพ.สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ นพ.จำรัส พงษ์พิศ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ รพ.หนองคาย และตัวแทนมูลนิธิรักษ์ตับ นางสาวศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง พร้อมภาคีเครือข่ายร่วมเปิดงานเพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ และร่วมขับเคลื่อนให้คนไทยมีสิทธิ์ขั้นพื้นฐานในการรักษาโรคมะเร็งตับด้วยยานวัตกรรม
มะเร็งตับปัญหาท้าทายระบบสาธารณสุขไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มูลนิธิรักษ์ตับ พร้อมด้วยมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง ภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน ร่วมรณรงค์ลดอัตราการเสียชีวิตและพิจารณายานวัตกรรมเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ เป็นความหวังผู้ป่วยมะเร็งให้มีสิทธิ์เข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม โดยมะเร็งตับถือเป็นภัยเงียบที่เป็นสาเหตุให้คนไทยเสียชีวิตอันดับ 1 และติดอันดับ 4 ของโลก แม้ในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีการรักษาที่ก้าวหน้าและมะเร็งตับสามารถรักษาได้ด้วยยานวัตกรรม แต่ในปัจจุบันโอกาสที่ผู้ป่วยมะเร็งตับจะเข้าถึงการรักษาด้วยยานวัตกรรมยังมีข้อจำกัดและไม่ทั่วถึง
ศ.เกียรติคุณ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รักษาการรองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า มะเร็งตับ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งที่พบมากที่สุดในประเทศไทยมีด้วยกัน 2 ชนิด คือมะเร็งเซลล์ตับที่เกิดจากการได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีเรื้อรัง พบได้ในทุกภาคของประเทศ และมะเร็งท่อน้ำดีในตับ ที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ พบมากทางภาคเหนือและภาคอิสาน การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างมาก มีการรักษาโดยใช้ "ยารักษาโรคมะเร็งแบบภูมิคุ้มกันบำบัด" ซึ่งจะช่วยลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการรักษาแบบดั้งเดิม และยังช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลามมีอัตรารอดชีวิตยาวนานขึ้น แต่ปัจจุบันยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาด้วยยากลุ่มดังกล่าวได้ นอกจากนี้ ยังต้องร่วมมุ่งมั่นที่จะค้นหาแนวทางการควบคุมและป้องกันโรคมะเร็งตับอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเพราะหากสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ก็จะช่วยทำให้การรักษาได้ผลดีเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้สูงขึ้นโดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้จัดทำโครงการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาการคัดกรองและเฝ้าระวังโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดีด้วยการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ร่วมกับการประมวลผลภาพอัลตราซาวด์ เพื่อสนองพระปณิธานองค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในการดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งมุ่งส่งเสริมการทำวิจัยของบุคลากรในประเด็นที่มุ่งแก้ไขปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เพื่อสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมเชิงสุขภาพที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงเพื่อพัฒนาประเทศและสังคมอย่างยั่งยืน
“การรณรงค์ต้านภัยมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ คือ การผลักดันการดูแลที่เข้าถึงผู้ป่วยมะเร็งทุกคนได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยเป้าหมายที่ต้องการให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างยืนยาว โครงการ Voice of Liver “ฟังเสียงตับ รับมือมะเร็ง” ครั้งที่ 4 จึงจะช่วยสะท้อนความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัว รวมทั้งบูรณาการพลังที่สำคัญจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการผลักดันให้นวัตกรรมการรักษาใหม่ ๆ เข้าสู่สิทธิประโยชน์ของรัฐ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ป่วยมะเร็งตับทุกคนจะมีโอกาสได้รับการรักษาที่ดีและมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม” ศ.เกียรติคุณ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน กล่าว
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มะเร็งตับเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขของประเทศที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สังคมและเศรษฐกิจ ตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงระดับชาติ ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 183,541 คน โดยเฉพาะมะเร็งตับซึ่งพบสูงถึง 27,963 คน แซงหน้ามะเร็งชนิดอื่น กระทรวงสาธารณสุขมีหนึ่งในนโยบายที่สำคัญ คือ “มะเร็งครบวงจร” ครอบคลุมทั้งการส่งเสริม ป้องกัน คัดกรอง วินิจฉัย รักษา บําบัด ฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจอย่างครบวงจร เพื่อจะช่วยลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ป่วย
กระทรวงฯ ยังมีนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” หรือ Cancer Anywhere เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งให้เข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพทุกแห่งได้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัวและไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายเชิงรุกจัดตั้ง “ทีมนักรบสู้มะเร็ง”หรือ“Cancer Warrior” ที่เป็นรูปธรรม ทำงานบูรณาการร่วมกับ Service Plan สาขาโรคมะเร็งในพื้นที่ โดยนำระบบการส่งข้อมูลผู้ป่วยด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ TCB Plus ของสถาบันมะเร็ง กรมการแพทย์ และ Health Link ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ใช้ในการลงทะเบียนและการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ทันท่วงที ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาโรคมะเร็งเห็นผลสัมฤทธิ์ได้มากยิ่งขึ้น
“งาน "Voice of Liver ฟังเสียงตับ รับมือมะเร็งตับ" ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่จะช่วยเสริมสร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการให้ผู้ป่วยมะเร็งตับได้เข้าถึงการรักษาด้วยยานวัตกรรมและการดูแลที่เท่าเทียมกัน เพราะทุกชีวิตมีคุณค่า” ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าว
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งตับ องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำให้ทุกประเทศฉีดวัคซีนป้องกัน ไวรัสตับ อักเสบบี ให้แก่ทารกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ซึ่งทำให้อัตราการติดเชื้อในเด็กลดลงอย่างมาก และมีมาตรการ ป้องกันการติด เชื้อไวรัสตับอักเสบซี ส่งผลให้อุบัติการณ์มะเร็งตับลดลงเฉลี่ยปีละ 2-3%”
กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการคัดกรองมะเร็งตับ และในปี พ.ศ. 2566 สำนักงานหลัก ประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีนโยบายให้มีการคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีและซี โดยมีการคัดกรองในกลุ่ม เสี่ยงที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 และสามารถเข้ารับการคัดกรอง และรักษาได้ในโรงพยาบาล ทั่วประเทศรวม 223 แห่ง ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายคัดกรอง 6 ล้านคนภายในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งจะช่วยป้องกัน โรคตับแข็งและมะเร็งตับ ลดค่าใช้จ่ายการรักษาในอนาคต
ด้าน นพ.จำรัส พงษ์พิศ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลหนองคาย และตัวแทนมูลนิธิรักษ์ตับ กล่าวว่า ปัจจุบัน ผู้ป่วยมะเร็งตับในไทยนั้นได้รับการรักษาแบบประคับประคอง ซึ่งช่วยยืดการมีชีวิตรอดได้เพียง 3-6 เดือนเท่านั้น ทั้งนี้ มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า ยามุ่งเป้า ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลามมีอัตรารอดชีวิตราว 10-13 เดือน ในขณะที่การใช้ยากลุ่มภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมกับยาต้านการสร้างหลอดเลือด ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลามมีอัตรารอดชีวิตราว 19.2 เดือนในผู้ป่วยทั่วโลก และ 24 เดือนในผู้ป่วยในประเทศจีน ซึ่งยาดังกล่าวยังไม่ได้รับการบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ ภาครัฐจึงถือเป็นที่พึ่งของผู้ป่วยมะเร็งตับในการผลักดันการบรรจุยานวัตกรรมเข้าสู่สิทธิ์การรักษาของคนไทยทุกคนได้อย่างเท่าเทียม เพื่อเพิ่มโอกาสการรักษาและสร้างความยั่งยืนด้านการรับมือกับโรคมะเร็งตับในระยะยาว
ภายในงานยังมีการเสวนาในหัวข้อ “การเข้าถึงยานวัตกรรมมะเร็งตับ กับอีกก้าวที่ใกล้ความจริงมากขึ้น” โดยมี นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ กรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.จำรัส พงษ์พิศ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลหนองคายและตัวแทนมูลนิธิรักษ์ตับ พญ.จอมธนา ศิริไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ พญ.ธนิตา ลิ้มศิริ อาจารย์แพทย์คณะแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และรังสีรักษา โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ นพ.จตุพร ผู้พัฒน์ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ตับ ตับอ่อน และทางเดินน้ำดี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และ ดร.ลักษณ์วรรณ พิมพ์สวัสดิ์ ประธานกลุ่ม “ร่วมด้วยช่วยตับ” กรรมการมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง และอดีตผู้ป่วยมะเร็งตับระยะที่ 4 มาร่วมถ่ายทอดเเรื่องราว มุมมองของผู้ป่วย ความเจ็บป่วยจากการรักษา รวมทั้งประสบการณ์ในการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมุมมองจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อช่วยกันผลักดังให้ผู้ป่วยมะเร็งเซลล์ตับมีผลการรักษาที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีจากการรักษา และสามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีที่เป็นนวัตกรรมได้
โดยการเสวนาครั้งนี้ถือเป็นการจุดประกายความหวัง สานต่อข้อเรียกร้องของผู้ป่วยเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทุกข้อเสนอแนะอย่างรอบด้าน และแสวงหาแนวทางที่ชัดเจนในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและมาตรฐานการรักษาในประเทศไทย รวมทั้งการผลักดันให้ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลามได้เข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างเท่าเทียม
แพทย์หญิงจอมธนา ศิริไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวระหว่างการเสวนาว่า โรคมะเร็งตับสามารถรักษาได้หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบก็คือ ผู้ป่วยจะตรวจพบและเข้าสู่การรักษาเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือ 4 ซึ่งเป็นระยะลุกลามและมีความยากในการรักษา ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยยาและการรักษาแบบประคับประคอง ซึ่งโดยเฉลี่ยมีอายุขัยอยู่ที่ประมาณ 4 - 8 เดือน
ดังนั้นนอกจากการตรวจคัดกรองแล้ว การรักษาก็สำคัญเช่นกัน ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลามสามารถมีทางเลือกการรักษาที่ดีอย่าง ยานวัตกรรม ที่ช่วยชะลอการลุกลามของโรค ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระหว่างการรักษา แต่ผู้ป่วยยังไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ การบรรจุรายการยานวัตกรรมให้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เป็นทางออกหนึ่งที่จะเพิ่มโอกาสการเข้าถึง ลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุข เป็นการยกระดับคุณภาพของระบบสาธารณสุขไทย โดยทุกคนควรมีสิทธิเข้าถึงการรักษาที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพโดยไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ
“การจัดตั้งกองทุนยามะเร็งเป็นอีกแนวคิดที่ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ศึกษาร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อหาแนวทางเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยานวัตกรรมที่จำเป็นได้เร็วและครอบคลุมมากขึ้น โดยเรียนรู้จากโมเดลที่มีการดำเนินการจริงในหลาย ๆ ประเทศ เช่น อังกฤษ อิตาลี และไต้หวัน สำหรับประเทศไทยกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการนำแนวคิด วิธีการมาปรับใช้ตามบริบทของประเทศไทยอย่างเหมาะสม แต่ก็ยังมีข้อจำกัดหลายประการ แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่สามารถจัดตั้งกองทุนยามะเร็งที่เป็นรูปธรรม แต่ได้แสดงให้เห็นความพยายามหาทางเลือกใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา ช่วยจุดประกายให้ทุกภาคส่วนหันมาให้ความสำคัญและบูรณาการความร่วมมือ เพราะหากไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ ผู้ป่วยมะเร็งตับก็จะยังอยู่กับการรักษาแบบเดิม ๆ ไม่มีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพและยานวัตกรรม อัตราการเสียชีวิตก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” แพทย์หญิงจอมธนา ศิริไพบูลย์ กล่าวเสริม
ด้านดร.ลักษณ์วรรณ พิมพ์สวัสดิ์ ประธานกลุ่ม ร่วมด้วยช่วยตับ และอดีตผู้ป่วยมะเร็งตับระยะ 4 กล่าวว่า หลังจากได้รับการวินิจฉัยและรักษาด้วยเคมีบำบัดและการฉายแสง พบว่ามีผลข้างเคียงจากการ รักษามากจนเครียดและไม่ต้องการรักษาต่อ แต่เมื่อได้รับการผ่าตัดจนตับเหลือ 35% อาการดีขึ้น หากมีนวัตกรรม หรือยาที่ช่วยลดผลข้างเคียงและเพิ่มคุณภาพชีวิตจะเลือกใช้ทันที เพราะเชื่อว่าผู้ป่วยทุกคน จะประสบปัญหานี้“ปัญหาหลักของผู้ป่วยคือค่ารักษาและค่ายา หากผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยานวัตกรรมที่มีผลดี และผลข้างเคียงน้อย ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตให้มีผลกระทบน้อยที่สุดได้ ซึ่งมีงานวิจัยที่ศึกษาในผู้ป่วย พบว่ากว่า 60% ของผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือในด้านค่ายา ซึ่งเป็น 1 ในปัญหาหลัก”“ช่องว่างในการเข้าถึงการรักษา ต้องร่วมกันผลักดันให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น โดยไม่ควรมอง แค่เรื่องราคา แต่ควรมองที่ความคุ้มค่าและด้านมนุษยธรรม คนไข้ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อ ซึ่งอาจเป็นสิ่งล้ำค่า ของเขาและคนในครอบครัว และสามารถทำประโยชน์ให้สังคมต่อไปได้อีกมาก” ดร.ลักษณ์วรรณ กล่าวปิดท้าย
โครงการ Voice of Liver “ฟังเสียงตับ รับมือมะเร็ง” ครั้งที่ 4 จึงถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยสะท้อนความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัว เป็นเวทีที่จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ถึงภัยเงียบจากโรคมะเร็งตับ และเป็นการรวมพลังที่สำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจการผลักดันให้ยานวัตกรรมเข้าสู่สิทธิประโยชน์ของรัฐ เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
โปรดใช้ถ้อยคำสุภาพ เหมาะสม เพื่อบรรยากาศที่ดีในการสนทนา และแบ่งปันข้อมูลอันมีคุณค่าต่อกัน