กลุ่มคนเหล่านี้ถ้าจะย้ายทะเบียนบ้านตามไปอยู่ในที่อยู่ใหม่จริงก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าย้ายที่อยู่โดยไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านตามไปด้วย ชื่อยังอยู่ในทะเบียนบ้านเดิม แต่ตัวไม่ได้อยู่แล้ว จะนำมาซึ่งปัญหาเมืองอย่างที่เราคาดกันไม่ถึงเลยทีเดียว
คนที่ทำงาน เรียนหนังสือ หรืออาศัยอยู่นอกภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านของตัวเองเรียกว่า “ประชากรแฝง” แยกเป็น
“ประชากรแฝงกลางวัน” หมายถึง คนที่เข้ามาทำงานหรือเรียนหนังสือในจังหวัดที่ตัวเองไม่ได้อาศัยอยู่ แล้วกลับไปนอนที่บ้านที่ตัวเองมีทะเบียนบ้านอยู่จริง รายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุไว้ว่า มีประชากรกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 1.3 ล้านคนในปี 2560
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือ “ประชากรแฝงกลางคืน” ก็คือประชากรที่ย้ายมาอยู่ในอีกที่หนึ่งอย่างถาวรแต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านตามมาด้วย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 8 ล้านคน
ประชากรแฝงมีผลอย่างไรต่อการพัฒนาเมือง
ประเด็นหลักที่มีผลคือ ความถูกต้องและเพียงพอในการจัดสรรงบประมาณไปสู่พื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริการของรัฐด้านใดก็ตาม มักจะคิดงบประมาณต่อหัวประชากรที่จะต้องใช้บริการของรัฐนั้น ๆ ซึ่งประชากรทั้งประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 65 ล้านคน งบประมาณก็ถูกแบ่งอย่างยุติธรรม ว่าแต่ละคนจะได้การสนับสนุนจากรัฐต่อหัวในอัตราที่พอๆ กัน ซึ่งรัฐก็ต้องเอาตัวเลขประชากรในแต่ละพื้นที่มาจากข้อมูลที่เป็นทางการเชื่อถือได้ และมีหลักฐานชัดเจน
นั่นคือข้อมูลตัวเลขจากทะเบียนบ้าน
ผลที่ตามมาก็คือพื้นที่ใดที่มีประชากรแฝงหรือประชากรที่ไม่ได้อยู่ในทะเบียนบ้านเยอะเท่าไหร่ พื้นที่นั้นก็ยิ่งมีส่วนต่างของผู้ใช้จริงกับงบประมาณต่อหัวมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ตัวอย่างเช่น กรุงเทพมหานคร มีประชากรในทะเบียนประมาณ 6 ล้านคน ก็จะได้งบประมาณในการบริหารและจัดหาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับประชากรในทะเบียนตามปกติสำหรับ 6 ล้านคนเท่านั้น แต่กรุงเทพมหานครมีประชากรแฝงกลางคืนถึงประมาณ 2 ล้านคน ซึ่งคนกลุ่มนี้จะไม่ได้จัดสรรงบประมาณต่อหัวอย่างเหมาะสมต้องใช้เงินภาษีด้านอื่น ๆ มาช่วยชดเชย จึงทำให้กรุงเทพมหานครมีปัญหางบประมาณไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการเมืองให้ได้ตามมาตรฐานอย่างที่เราเห็นอยู่ นำมาซึ่งปัญหาความแออัดปัญหาจราจรการขาดแคนพื้นที่สีเขียวความไม่เพียงพอของสาธารณูปโภคและสาธารณูปการต่างๆ มากมาย
กฏหมายมี แต่ไม่ปฏิบัติตาม
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 ได้ระบุไว้ในมาตรา 30 อย่างชัดเจนว่า เมื่อการย้ายเข้าย้ายออกจะต้องแจ้งย้ายต่อนายทะเบียนภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ย้ายออกย้ายเข้า หากไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่ก็ไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่ไปตามจับใครที่ไม่ทำตามกฎหมายนี้เลยสักที เว้นแต่เค้ามาแจ้งย้ายหลังจากเวลาที่กำหนด ก็ค่อยปรับไปตามระเบียบ
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการช่วยเหลือให้มีการย้ายที่อยู่อาศัยในทะเบียนอย่างสะดวก เช่น การย้ายปลายทาง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้จำนวนประชากรแฝงลดลงแต่อย่างใด มีหลายประเทศที่พยายามแก้ปัญหานี้โดยการให้ คน ๆ หนึ่งสามารถมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านได้ 2 ที่คือบ้านที่อยู่เป็นประจำ และบ้านที่อยู่เป็นบางเวลา เช่น วันธรรมดาไปทำงานอยู่บ้านหนึ่ง ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์กลับมาอยู่อีกบ้านหนึ่ง แบบนี้ก็สามารถลงทะเบียนบ้านว่าอยู่บ้านไหนเป็นหลัก อยู่บ้านไหนเป็นบ้านรองได้ งบประมาณของรัฐที่เป็นแบบต่อหัวประชากรก็จะถูกแบ่งออกไปตามสัดส่วนของการอยู่อาศัยในแต่ละบ้าน ก็จะทำให้การบริหารจัดการเมืองและการจัดสรรงบประมาณมีความแม่นยำเที่ยงตรงและมีความเป็นธรรมมากขึ้น
ดังนั้นการมีทะเบียนบ้านตามที่อยู่จริง เป็นฐานของการที่จะทำให้เมืองมีงบประมาณอย่างเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการบริการสาธารณะต่อหัวประชากรได้อย่างเหมาะสม
เมื่อรู้แบบนี้แล้วพวกเราก็มาย้ายทะเบียนบ้านให้เป็นไปตามจริง เพื่อช่วยชาติกันเถอะครับ
ดร.พนิต ภู่จินดา
บทความนี้เผยแพร่บนเว็บไซต์ Rabbit Today เมื่อปี 2019