นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับรายงานจากด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรมควบคุมโรค และกรมสุขภาพจิตถึงผลการคัดกรองสุขภาพตัวประกันชาวไทยที่เดินทางกลับจากอิสราเอล จำนวน 17 ราย เมื่อเวลา 15.20 น.ของวันนี้ เบื้องต้น ผลการคัดกรองสุขภาพกาย ไม่พบผู้ป่วยสงสัยโรคติดต่อหรือมีไข้ แต่พบมีอาการป่วยทางกาย 6 ราย แบ่งเป็น มีปัญหาการได้ยิน 2 ราย ปวดเข่า 1 ราย ชานิ้วโป้ง 1 ราย ปวดท้องโรคกระเพาะ 1 ราย และโลหิตจาง สงสัยธาลัสซีเมีย 1 ราย โดยเจาะตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมแล้ว
ส่วนการคัดกรองทางด้านสุขภาพจิต พบมีความเครียดเล็กน้อย 2 ราย ที่เหลือ 15 ราย อาการปกติ ภาพรวมไม่มีผู้ป่วยที่ต้องประสานส่งต่อไปยังโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม จะมีการประสานโรงพยาบาลในพื้นที่ดำเนินการติดตามเรื่องสุขภาพต่อไป
การดูแลโดยกระทรวงแรงงาน
กระทรวงแรงงาน โดย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน รับพี่น้องแรงงานไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันและได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัยจำนวน 17 ราย กลับสู่ประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ
นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในวันนี้ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ผมพร้อมด้วย ท่านผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงจากทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงแรงงาน เป็นผู้แทนของกระทรวงแรงงานในการมาร่วมรับพี่น้องแรงงานไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันและได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัย ซึ่งเดินทางกลับจากอิสราเอล จำนวน 17 ราย ด้วยเที่ยวบินที่ LY081 ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลา 15.12 น.ในวันนี้ โดยมาพร้อมกับคณะของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ซึ่งได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยในอิสราเอลตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
และผม ในฐานะผู้แทนของท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และกระทรวงแรงงาน ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับครอบครัวของพี่น้องแรงงานไทยทุกคนที่ได้รับการปล่อยตัวจากสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอลในครั้งนี้ รวมถึงขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ได้มีบทบาทสำคัญในการเจรจาทำให้ได้มีการปล่อยตัวประกันแรงงานไทยอย่างปลอดภัย ซึ่งในวันนี้มีพี่น้องแรงงานไทยเดินทางกลับมาจำนวน 17 ราย จากพี่น้องแรงงานไทยที่ได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัยแล้วทั้งหมด 19 ราย โดยในวันนี้ผมยังเป็นผู้แทนของกระทรวงแรงงานมอบเงินสด ซึ่งได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือมาจากสมาคมการจัดหางานไทยไปต่างประเทศ เพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยในเบื้องต้น รายละ 10,000 บาท ด้วย
อีกทั้งกล่าวเพิ่มเติมว่าขอให้ญาติของแรงงานมั่นใจได้ว่ารัฐบาลไทย กระทรวงแรงงาน และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่ ในการดำเนินการประสานทุกฝ่าย เพื่อเร่งช่วยเหลือให้พี่น้องแรงงานไทยที่เหลือทั้งหมดให้ได้รับการปล่อยตัวและเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อพบครอบครัวในเวลาที่รวดเร็วที่สุด และ ด้านสิทธิประโยชน์อันพึงได้รับของแรงงานไทยที่ถูกจับกุมตัวนั้น ในส่วนของประเทศไทย แรงงานไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์ จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ โดยแรงงานไทยที่เป็นสมาชิกกองทุนฯ จะได้รับเงินสงเคราะห์กรณีภัยสงคราม รายละ 15,000 บาท หากแรงงานไทยดังกล่าวประสบปัญหาด้านร่างกายหรือจิตใจ จะได้รับเงินสงเคราะห์ รายละ 30,000 บาทโดยต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ (ใบรับรองแพทย์) ซึ่งจากการตรวจสอบ แรงงานไทย จำนวน 17 ราย พบว่า เป็นสมาชิกที่อยู่ในความคุ้มครองของกองทุนฯ จำนวน 14 ราย และสิ้นสุดความคุ้มครอง จำนวน 3 ราย
ในส่วนของสิทธิประโยชน์จากอิสราเอลนั้น กระทรวงแรงงานได้รับการประสานว่า ผู้ถูกจับกุมตัวทุกรายจะได้รับเงินช่วยเหลือ ก้อนแรกเป็นเงิน จำนวน 100,000 บาท รวมถึงช่วง 6 เดือนแรก จะได้รับเงินคิดเป็นเงินไทยประมาณเดือนละ 60,000 บาท
ทั้งนี้ หากแรงงานไทยได้รับการประเมินจากแพทย์ ว่าได้รับผลกระทบด้านร่างกาย หรือจิตใจ สามารถนำใบรับรองแพทย์ไปยื่นกับสำนักงานประกันสังคมอิสราเอลเพื่อประเมินขอรับเงินช่วยเหลือได้โดยแต่ละรายจะได้รับเงินไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับการประเมินของสำนักงานประกันสังคมอิสราเอล
สำหรับค่าชดเชยอื่นๆ ของสำนักงานประกันสังคมอิสราเอล แรงงานไทยทั้ง 17 ราย ได้กรอกข้อมูลและยื่นคำร้องเรียบร้อยแล้ว โดยสำนักงานประกันสังคมอิสราเอล จะส่งให้สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย เพื่อดำเนินการช่วยเหลือในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
และในส่วนเงินค่าจ้างค้างจ่ายและเงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง (เงินปิซูอิม) นั้น อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ จะประสานนายจ้างเพื่อดำเนินการ จ่ายค่าจ้างส่วนที่ยังค้างจ่าย เงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง (ปิซูอิม)
ภาพจาก เพจกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข