24 ก.พ.67 เวลา 12.00 น. ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ กลุ่มผู้เสียหายจากกรณีถูกโกงตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประชุมเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่เพื่อรับนโยบายมาบริหารงานในจังหวัดเชียงใหม่ ณ โรงแรมดารา จ.ภูเก็ต ระหว่างวันที่ 20-23 ก.พ.67 ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายหลังจากที่กลุ่มผู้เสียหายได้ติดต่อซื้อตั๋วเครื่องบินจากตัวแทนของบริษัทแห่งหนึ่งชื่อ น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) อายุประมาณ 50 ปี ชาว อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เป็นตั๋วราชการไป-กลับ เชียงใหม่-ภูเก็ต คนละ 9,830 บาท ออกเดินทางเมื่อตอนเช้าวันที่ 22 ก.พ.67 ซึ่งในช่วงขาไปนั้นเป็นไปตามปกติ แต่ขากลับวันที่ 23 ก.พ.67 ที่ทางกลุ่มผู้เสียหายยื่นตั๋วเดินทางกับเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์สนามบินภูเก็ต
ปรากฎว่า เป็นตั๋วปลอม ที่ทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีการซื้อตั๋ว และไม่มีเที่ยวบืนดังกล่าวแต่อย่างใด
ทำให้กลุ่มผู้เสียหายเดือดร้อนอย่างหนักต้องนอนอยู่ที่สนามบินภูเก็ตกว่า 20 ชั่วโมง และต้องควักเงินในกระเป๋าตัวเองเพื่อซื้อตั๋วเดินทางกลับใหม่ อีกประมาณ คนละ 5,000 กว่าบาท
และเมื่อตรวจสอบพบว่าไม่ได้มีเพียงกลุ่มผู้เสียหายเพียงกลุ่มเดียวที่ถูกหลอกในลักษณะเดียวกันนี้ แต่ยังมีกลุ่มผู้เสียหายรายอื่นๆ อีกกว่า 20 คนที่ถูก น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) หลอกซื้อตั๋วในลักษณะเดียวกันนี้ และคิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมหลายแสนบาท
ซึ่งหลังจากเดินทางมาถึงจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มผู้เสียหายได้ลากกระเป๋าขึ้นรถเดินทางมาแจ้งความทันทีและยังมีหนึ่งในกลุ่มผู้เสียหายรายหนึ่งที่ต้องเตรียมเดินทางไปร่วมพิธีศพญาติที่เสียชีวิตเนื่องจากเดินทางมาไม่ทันในวันจัดงานวันแรก เพราะติดอยู่ที่สนามบินภูเก็ต จากกรณีที่เกิดขึ้น
โดยทาง นายณัฐพล ใจวงศ์ อายุ 35 ปี นักวิชาการสาธารณสุข ปฏิบัติการ โรงพยาบาลจอมทอง หนึ่งในกลุ่มผู้เสียหาย บอกว่า ตนกับกลุ่มผู้เสียหายอีก 5 คน ได้ติดต่อซื้อตั๋วเครื่องบินกับ ตัวแทนของบริษัทแห่งหนึ่งชื่อ น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) ซึ่งเดินทางไปประชุมเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่เพื่อรับนโยบายมาบริหารงานในจังหวัดเชียงใหม่ ที่โรงแรมดารา จ.ภูเก็ต โดยในตอนขาไปนั้นสามารถเดินทางได้ตามปกติ แต่ในวันเดินทางขากลับเมื่อวานนี้ (23 ก.พ.67) ช่วงเวลาประมาณ 13.00 น. พบว่าตั๋วที่ใช้เดินทางนั้นเป็นตั๋วปลอม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของเคาน์เตอร์บอกว่าไม่ได้มีการจองไว้แต่อย่างใด ทำให้ตนและกลั่มไม่สามารถเดินทางกลับมายังจังหวัดเชียงใหม่ได้ตามแผนที่วางไว้ อีกทั้งทำให้ต้องทนอยู่ที่สนามบินภูเก็ตถึง 20 ชั่วโมง ที่ไม่มีที่หลับนอนและที่พัก
นอกจากนี้ ในส่วนของตนยังมาทราบข่าวร้ายว่า ญาติเสียชีวิตเมื่อวานนี้อีก 3 คน แต่ก็ไม่สามารถเดินทางกลับมาช่วยงานศพได้ และผู้เสียหายคนอื่นๆ ก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน เพราะมีบางคนที่ต้องอยู่เวร ต้องยกเลิกและขอสับเปลี่ยนเวรกับเจ้าหน้าที่ท่านอื่น
นายณัฐพล บอกอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้สร้างความเสียหายกับทางกลุ่มเป็นอย่างมาก และตนอยากฝากถึง น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) ว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นการกระทำที่ผิด และสงผลกระทบกับคนอื่นๆ ซึ่งอยากให้ทางคู่กรณีหยุดกระทำการแบบนี้ อีกทั้งคนที่ถูกหลอกในครั้งนี้ก็เป็นคนในวงการสาธารณสุข ทั้งในศูนย์ของโรงพยาบาลทั่วไป , สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคเชียงใหม่ และสิ่งที่เกิดขึ้นก็สร้างความเสียหายอย่างมากเท่าที่ทราบก็เป็นหลักแสน และยังมีอีกหลายรายที่ถูกกระทำในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย
โดยจากที่ทราบในตอนนี้ เฉพาะกลุ่มของตนที่ถูกหลอก 6 คน มูลค่าความเสียหายอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาท และยังมีกลุ่มผู้เสียหายที่อยู่โรงพยาบาลจอมทอง ประมาณ 10,000 บาท นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้เสียหายที่รู้จักกับคนในกลุ่มตนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลนครพิงค์อีก ซึ่งทราบว่า จะเดินทางไปต่างประเทศ มีค่าความเสียหายหลักแสนบาท และยังมีกลุ่มเจ้าหน้าที่จากสำนักงานควบคุมโรคเชียงใหม่ ที่ถูกหลอกมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 10,000 บาท และรวมๆ ผู้เสียหายที่ทราบในตอนนี้ประมาณ 20 กว่าคนแล้ว
ขณะที่ทางด้าน นางเปรมมิกา วงค์หล้า นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาเคยติดต่อซื้อตั๋วเครื่องบินกับทาง น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) อยู่บ่อยๆ ประมาณ 10 ปี และไม่เคยมีปัญหาแต่อย่างใด จนกระทั่งครั้งนี้ซึ่งในตอนแรกตนก็ยังไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้น เพราะด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวของ น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) ที่เคยติดต่อกันบ่อยๆ แต่หลังจากที่ตนกับกลุ่มทราบว่าไม่สามารถเดินทางกลับได้ น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) ก็ยังส่งข้อความมาหาตน โดยบอกว่า “ขอโทษ และยอมรับผิด” แต่หลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อไปอีกเลย จนกระทั่งตนและผู้เสียหายทั้งหมดต้องมาแจ้งความกับตำรวจหลังจากที่ติดอยู่ที่สนามบินภูเก็ตถึง 20 ชั่วโมง อีกทั้งยังทราบว่ามีผู้เสียหายรายอื่นๆ ก็ทยอยเดินทางเข้าแจ้งความแล้วด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของ น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) ที่ทำแบบนี้ ตนอยากให้ทางคู่กรณีหยุดทำ เพราะมันส่งผลเสียต่อตัวเอง และสร้างความเสียหายให้กับคนอื่นๆ และอยากฝากถึงผู้เสียหายรายอื่นๆ หากทราบว่าถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน ก็อยากให้รีบเอาหลักฐานเข้าแจ้งความ เพราะหากปล่อยให้เรื่องเงียบ คนก่อเหตุก็จะย่ามใจและไปก่อเหตุอีก
นอกจากนี้หลังจากที่ตนถูกหลอก ยังได้ของให้ทางเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานช่วยไปตรวจสอบที่บริษัทที่ น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) ทำงาน ก็พบว่าบริษัทเหลือแต่ห้องเปล่า และทราบว่าบริษัทได้ปิดตัวไปนานเกือบปีแล้ว ส่วน น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) ก็ทราบว่าได้ออกไปทำบริษัทเองในพื้นที่ อ.สันป่าตอง ซึ่งไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาตนคาดว่าจะมีผู้เสียหายถูกหลอกในลักษณะเช่นนี้ไม่น้อย และตนก็อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ช่วยดำเนินการสืบสวนติดตามตัว น.ส.เกศริน (สงวนนามสกุล) มาดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้มีผู้อื่นหลงกลตกเป็นเหยืออีก
ข่าวและภาพจาก
เชียงใหม่ CM108 ข่าวเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่