อายุ | วัคซีนที่ให้ | ข้อแนะนำ |
---|---|---|
แรกเกิด | BCG (บีซีจี) | ฉีดให้เด็กก่อนออกจากโรงพยาบาล |
HB1 (ตับอักเสบบี) | HB1 ควรให้เร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด | |
1 เดือน | HB2 (ตับอักเสบบี) | เฉพาะรายที่เด็กคลอดจากมารดาที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี |
2 เดือน | DTP-HB1 (คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี) OPV1 (โปลิโอชนิดหยอด) |
|
4 เดือน | DTP-HB2 (คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี) OPV2 (โปลิโอชนิดหยอด) , IPV1 (โปลิโอชนิดฉีด) |
ให้วัคซีนโปลิโอชนิดฉีด 1 เข็ม พร้อมกับวัคซีนโปลิโอชนิดหยอด 1 ครั้ง |
6 เดือน | DTP-HB3 (คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี) OPV3 (โปลิโอชนิดหยอด) |
|
9 เดือน | MMR1 (หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน) | หากไม่ได้ฉีดเมื่ออายุ 9 เดือน ให้รีบติดตามฉีดโดยเร็วที่สุด |
1 ปี | LAJE1 (ไข้สมองอักเสบเจอีเชื้อเป็น) | |
1 ปี 6 เดือน | DTP4 (คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน) OPV4 (โปลิโอชนิดหยอด) |
|
2 ปี 6 เดือน | LAJE2 (ไข้สมองอักเสบเจอีเชื้อเป็น) MMR2 (หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน) |
|
4 ปี | DTP5 (คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน) OPV5 (โปลิโอชนิดหยอด) |
|
7 ปี (ป.1) | MR (หัด-หัดเยอรมัน) | เฉพาะรายที่ได้รับไม่ครบตามเกณฑ์ |
HB (ตับอักเสบบี) | เฉพาะรายที่ได้รับไม่ครบตามเกณฑ์ | |
LAJE (ไข้สมองอักเสบเจอีเชื้อเป็น) | เฉพาะรายที่ได้รับไม่ครบตามเกณฑ์ | |
IPV (โปลิโอชนิดฉีด) | เฉพาะรายที่ได้รับไม่ครบตามเกณฑ์ | |
dT (คอตีบ-บาดทะยัก), OPV (โปลิโอชนิดหยอด) | เฉพาะรายที่ได้รับไม่ครบตามเกณฑ์ | |
BCG (บีซีจี) | 1. ให้ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานว่าเคยได้รับเมื่อแรกเกิด และไม่มีแผลเป็น 2. ไม่ให้ในเด็กติดเชื้อเอชไอวี ที่มีอาการของโรคเอดส์ |
|
11 ปี (นักเรียนหญิง ป.5) |
HPV1, HPV2 (เอชพีวี) | ให้ 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน (จังหวัดที่ได้รับการสนับสนุนวัคซีนกระทรวงสาธารณสุขจะได้แจ้งให้พื้นที่ทราบต่อไป) |
12 ปี (ป.6) | dT (คอตีบ-บาดทะยัก) | ตามแผนปฏิบัติงานของกระทรวงสาธารณสุขฉีดให้เด็กนักเรียนชั้น |
ชื่อวัคซีน | ผู้ที่ควรได้รับวัคซีน | อายุที่ควรได้รับและกำหนดการรับวัคซีน |
---|---|---|
โรต้า (Rotavirus) | - เด็กทั่วไปที่ควรได้รับ โด๊สแรกอายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์และไม่เกินอายุ 15 สัปดาห์ | - วัคซีนชนิด monovalent หยอด 2 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4 เดือน ห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ และโด๊สสุดท้ายไม่เกินอายุ 8 เดือน - วัคซีนชนิด pentavalent หยอด 3 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน แต่ละโด๊สห่างกันไม่น้อยกว่า 4 สัปดาห์ และโด๊สสุดท้ายไม่เกินอายุ 8 เดือน - วัคซีนทั้ง 2 ชนิดสามารถให้พร้อมกับ OPV ได้ หรือ ห่างกันเป็นเวลาเท่าใดก็ได้ และสามารถกินนมแม่ได้ |
ฮิบ (Haemophilus influenzae type b) |
- เด็กทั่วไปที่มีอายุ 2 เดือน - 2 ปี - เด็กทุกอายุที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ม้ามทำงานผิดปกติ |
- อายุตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป ฉีด 1-3 เข็ม ห่างกันทุก 2 เดือน ขึ้นกับอายุที่เริ่มให้วัคซีน ดังนี้ : • กรณีที่ใช้วัคซีนชนิด PRP-T ถ้าอายุที่เริ่มฉีดต่ำกว่า 6 เดือน ให้ 3 เข็ม, อายุ 7-11 เดือน ให้ 2 เข็ม และ อายุ 12-24 เดือน ให้เข็มเดียว • ฉีดกระตุ้น 1 เข็ม เมื่ออายุ 12-18 เดือน และห่างจากเข็มสุดท้ายอย่างน้อย 2 เดือน โดยเด็กที่แข็งแรงดีอาจไม่ต้องฉีดกระตุ้นก็ได้ • หลังอายุ 24 เดือน ไม่ต้องฉีดยา ยกเว้นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องให้ฉีด 2 เข็มห่างกัน 2 เดือน |
อีสุกอีใส (Varicellazoster) |
- บุคคลทั่วไปที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส หรือยังไม่มีภูมิคุ้มกัน โดยให้ได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จนถึงผู้ใหญ่ - ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหรืออยู่บ้านเดียวกันกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสหรือยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ให้ได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป - บุคลากรทางการแพทย์ ที่ยังไม่เคยเป็นโรค หรือยังไม่มีภูมิคุ้มกัน - ห้ามให้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องทุกสาเหตุ ยกเว้นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่มี CD4 มากกว่าร้อยละ 15 |
- เด็กอายุ 1-12 ปี ให้ 2 เข็ม เข็มแรกแนะนำให้ฉีดเมื่ออายุ 12-18 เดือน เข็มที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี แต่ในกรณีที่มีการระบาด อาจฉีดครั้งที่สองก่อนอายุ 4 ปีได้ โดยต้องห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน - เด็กอายุตั้งแต่ 13 ปี และผู้ใหญ่ให้ 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ - ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่มีอาการของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และมี CD4 มากกว่าร้อยละ 15 แนะนำให้ 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน |
ตับอักเสบเอ (Hepatitis A) | - บุคคลทั่วไปที่อายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป - ผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันและมีความเสี่ยงต่อโรคตับรุนแรง เช่น ผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง - ควรพิจารณาให้แก่ผู้ประกอบอาหาร ผู้ที่อยู่ในสถาบันที่มีคนอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมาก เช่น สถานเลี้ยงเด็ก สถานกักกัน กองทัพ ที่อาจเกิดการระบาดของโรคได้บ่อย - ผู้ที่จะเดินทางไปในที่ที่มีการระบาดหรือมีความชุกของโรคสูง |
- อายุ 1 ปี ขึ้นไปฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน (อายุ 1-18 ปี ฉีดขนาดครึ่งหนึ่งของขนาดในผู้ใหญ่) |
นิวโมคอคคัส (Streptococcus pneumoniae) ชนิด 23-valent polysaccharide |
- บุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อนิวโมคอคัสมากกว่าคนปกติหรือรุนแรงกว่าคนปกติที่มีอายุ 2 ปี ขึ้นไป เช่น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยที่ไม่มีม้ามหรือม้ามทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดโดยเฉพาะชนิดเขียวและผู้ป่วยภาวะหัวใจวาย โรคปอดเรื้อรัง โรคเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีน้ำไขสันหลังรั่ว และผู้ป่วยปลูกถ่าย cochlear | - อายุ 2 ปี ขึ้นไป แนะนำให้ฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกัน 5 ปี - อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป แนะนำให้ฉีดวัคซีน 1 เข็ม |
นิวโมคอคคัส (Streptococcus pneumoniae) ชนิด 10-valent conjugate (PCV-10) และ 13 valent conjugate (PCV-13) |
- เด็กปกติที่มีอายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป จนถึง 5 ปี - เด็กที่มีความเสี่ยงได้แก่ เด็กทุกอายุที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีความเสี่ยงต่อโรค เช่น ไม่มีม้ามหรือม้ามทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดโดยเฉพาะ ชนิดเขียวและผู้ป่วยภาวะหัวใจวาย โรคปอดเรื้อรัง โรคเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีน้ำไขสันหลังรั่ว และผู้ป่วยปลูกถ่าย cochlear - ผู้ใหญ่ทุกคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป |
- จำนวนครั้งที่ฉีด ขึ้นอยู่กับอายุที่เริ่มฉีด โดยแต่ละเข็มควรห่างกัน 6-8 สัปดาห์ ดังนี้ • ถ้าเริ่มฉีดที่อายุ 2-6 เดือน ให้ 3 ครั้ง • ถ้าเริ่มฉีดที่อายุ 7-23 เดือน ให้ 2 ครั้ง • ถ้าเริ่มฉีดที่อายุ 24-59 เดือน ให้ครั้งเดียว ยกเว้นเป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งควรให้ 2 ครั้ง • หลังอายุ 5 ปี แนะนำให้เฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง โดยใช้ PCV-13 2 ครั้ง ห่างกัน 6-8 สัปดาห์ - ควรฉีดเข็มกระตุ้นเมื่ออายุ 12-15 เดือน ถ้าเริ่มให้ก่อนอายุ 1 ปี - ในเด็กปกติอาจพิจารณาฉีดแบบ 2+1 (รวมเป็นการฉีด 3 เข็ม) คือฉีดเมื่ออายุ 2, 4 และ 12-15 เดือน - เด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือไม่มีม้ามหรือม้ามทำงานผิดปกติ หลังจากฉีด PCV แล้วตามอายุอันควรดังข้างต้น ควรให้วัคซีนชนิด 23- valent polysaccharide ร่วมด้วยเมื่ออายุ 2 ปี ขึ้นไป อีก 2 เข็ม โดยเข็มแรกห่างจาก PCV โด๊สสุดท้าย 2 เดือน และฉีด 23- valent polysaccharide เข็มที่สองเมื่อ 5 ปีต่อมา - ผู้ใหญ่อายุ 50 ปี ขึ้นไป ฉีด PCV-13 1 ครั้งเท่านั้น |
ไข้กาฬหลังแอ่น (Neisseria meningitidis) ชนิด polysaccharide (MPSV 4) |
- เฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไป และมีข้อบ่งชี้ดังนี้ 1. ผู้ที่จะเดินทางไปยังบริเวณที่มีการระบาดของเชื้อไข้กาฬหลังแอ่นซึ่งมี ซีโรกรุ๊ปที่วัคซีนป้องกันได้ เช่น ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ และอุมเราะห์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย 2. กรณีที่มีการระบาดของเชื้อซีโรกรุ๊ปที่มีในวัคซีนเกิดขึ้น 3. กรณีก่อนไปศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษา หรือมหาวิทยาลัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศอื่นที่กำหนดให้ต้องฉีดก่อนเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษา 4. มีภาวะภูมิต้านทานต่อเชื้อนี้บกพร่องได้แก่ ภาวะม้ามไม่ทำงานหรือขาดสารคอมพลีเม้นต์ส่วนปลาย |
- ฉีดครั้งเดียว |
ไข้กาฬหลังแอ่นชนิดคอนจูเกต (MCV4) | - MCV4-DT (MenactraTM) ในผู้ที่อายุ 9 เดือน-55 ปี - MCV4-CRM (MenveoTM) ในผู้ที่อายุ 2-55 ปี - ข้อบ่งชึ้เหมือน MPSV4 ข้างต้น |
- เด็กอายุ 9-23 เดือน ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน - เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่ ถ้ามีความเสี่ยงต่อการไปสัมผัสโรคเท่านั้น (ข้อ 1-3) ให้ 1 เข็ม แต่ถ้ามีความเสี่ยงเพราะม้ามไม่ทำงาน หรือขาดสารคอมพลีเม้นต์ให้ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 2 เดือน - เด็กอายุ 11-18 ปีแข็งแรงดีที่จะไปเรียนในประเทศที่กำหนดให้ต้องฉีดให้ฉีด 1 เข็ม และซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 16 ปี ถ้าฉีดเข็มแรกก่อนอายุ 16 ปี โดยต้องห่างจากเข็มแรก อย่างน้อย 2 เดือน - การฉีดกระตุ้นซ้ำ ควรให้เมื่อยังมีความเสี่ยงโดยฉีด 5 ปี หลังเข็มสุดท้าย กรณีเป็นผู้มีภูมิคุ้มกันในการต้านทานเชื้อนี้บกพร่อง (ข้อ 4) ให้ฉีดทุก 5 ปี |
พิษสุนัขบ้า (Rabies) |
- ทุกคนที่ถูกสัตว์กัด - ผู้ที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อพิษสุนัขบ้า เช่น สัตวแพทย์ ผู้ทำงานในห้องปฏิบัติการ หรือผู้เดินทางเข้าไปในถิ่นที่มีโรคพิษสุนัขบ้าชุกชุม |
- ฉีดก่อนสัมผัส วันที่ 0, 7, และ 21 (หรือวันที่ 28) - ฉีดหลังสัมผัส ฉีดเข้ากล้ามวันที่ 0, 3, 7, 14, และ 30 (มีการฉีดหลังสัมผัสแบบเข้าใต้ผิวหนังดูรายละเอียดในเรื่องวัคซีนพิษสุนัขบ้า) |