WHO วอนนานาชาติช่วยถอดรหัสพันธุกรรม
WHO ได้ขอร้องบรรดาห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ใหญ่น้อยในทุกประเทศให้ร่วมด้วยช่วยกัน"สุ่ม"ถอดรหัสพันธุกรรม “ไวรัสโคโรนา 2019” ทั้งจีโนมจากตัวอย่างที่มีผล PCR ต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นบวก และรีบอัปโหลดขึ้นบนฐานข้อมูลโควิดโลก "GISAID" เพื่อให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้นำไปวิเคราะห์หาทางป้องกันและรักษาไวรัสโคโรนา 2019 กันแบบเรียลไทม์
สายพันธุ์ย่อยที่ WHO ได้ขอให้ทั่วโลกเฝ้าติดตามโดยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมคือ
1. โอมิครอน BA.2 ซึ่งกำลังเข้ามาแทนที่ โอมิครอน BA.1 และอาจก่อให้เกิดเป็นการระบาดใหญ่ไปทั่วโลก ส่วนในประเทศไทยหลายฝ่ายกำลังจับตาว่าการระบาดของ BA.2 จะทำให้เกิดระบาดใหญ่ระลอกที่ 6 หรือไม่ (ภาพ 7)
2. โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย (sub lineage) ของ BA.2 เช่น BA.2.1, BA.2.2, BA.2.3 ซึ่งขณะนี้เริ่มพบ “BA.2.2” ระบาดมากที่สุดในฮ่องกง โดยต้องสงสัยว่าอาจเป็นปัจจัยหนึ่งหรือไม่ที่ทำให้ฮ่องกงมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงที่สุดในโลก โดยในช่วงพีกสูงสุดมีผู้เสียชีวิตถึง 30 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ในขณะที่ประเทศไทยอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 น้อยกว่าคือน้อยกว่า 1 คนต่อประชากร 1 ล้านคน (ภาพ 1)
BA.2.2 มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากอู่ฮั่นประมาณ 74 ตำแหน่ง จากการคำนวณในเบื้องต้นพบว่า BA.2.2 มี “growth advantage” หรือความสามารถในการแพร่ระบาดเหนือกว่า BA.2 ประมาณ 0.53 เท่า (53%) (ภาพ2) โดย BA. 2 มี “growth advantage” หรือความสามารถในการแพร่ระบาดได้เร็วกว่า BA.1 ประมาณ 1.5 เท่า (150%)
3. สายพันธุ์ลูกผสมที่ควรเฝ้าระวังขณะนี้มีสองกลุ่มคือ
I. สายพันธุ์ลูกผสมระหว่าง “เดลตา (AY.4) + โอมิครอน (BA.1)” (Delta/Omicron Recombinant Lineage) โดยเดลตาสายพันธุ์ย่อย “AY.4” ได้รับเอายีน Spike ที่สร้างหนามแหลมจากโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 เข้ามาผสมในสายจีโนม เกิดเป็นสายพันธุ์ลูกผสม “AY.4+BA.1” โดยมีส่วนตัวเป็นเดลตา ส่วนหนามเป็นโอมิครอน
เดลตาครอนไม่ฟิตกับสิ่งแวดล้อม ทำให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนไม่มาก อยู่ในระดับหลักสิบ และไม่สามารถขยายตัวแพร่ติดต่อเป็นวงกว้างได้ พบในอังกฤษ 30 คน อเมริกา 17 คน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก เป็นหลักหน่วย จากการตรวจสอบระหัสพันธุกรรมจากฐานข้อมูลโควิดโลก "GISAID" พบว่าเดลตาครอนน่าจะอุบัติขึ้นในราวมกราคม 2565 (ภาพ 3)
II. สายพันธุ์ลูกผสมระหว่าง “โอมิครอน BA.1 + โอมิครอน BA.2” (BA.1/BA.2 Recombinant Lineage) โดยโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย “BA.1” รับเอายีน Spike ที่สร้างหนามแหลมจาก BA.2 เข้ามาผนวกในสายจีโนม เกิดเป็นสายพันธุ์ลูกผสม “BA.1+BA.2” มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากอู่ฮั่นถึง 88 ตำแหน่ง (ภาพ 4) จากการคำนวณพบว่ามี “growth advantage” หรือความสามารถในการแพร่ระบาดได้เหนือกว่า BA.2 ประมาณ 1.26 เท่า (126%) (ภาพ 5)
จากนี้ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ต้องจับตามองทั้งบรรดาโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยและสายพันธุ์ลูกผสม “โอมิครอน BA.1 + โอมิครอน BA.2” ที่มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากอู่ฮั่นสูงถึง 88 ตำแหน่ง และมีความสามารถในการแพร่ระบาดที่เหนือกว่า BA.2 ประมาณ 1.26 เท่า (126%) ว่าผู้ติดเชื้อจะมีอาการรุนแรงแตกต่างจาก BA.2 หรือไม่
ที่สำคัญสายพันธุ์ลูกผสมที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศมีสัดส่วนการแลกเปลี่ยนหรือการผสมสารพันธุกรรมบนสายจีโนมที่แตกต่างกัน แม้ลูกผสมที่ตรวจพบในขณะนี้ส่วนใหญ่จะรับส่วนจีโนมที่สร้างหนาม (spike gene) มาจาก BA.1 หรือ BA.2 (ภาพ8) โดยยังไม่อาจคาดคะเนได้ว่าจะก่อให้เกิดอาการความรุนแรงของโรคเหมือนการติดเชื้อโอมิครอนทั่วไปหรือไม่