ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

ยาคุมฉุกเฉิน ห้ามใช้ต่อเนื่อง และเรื่องต้องรู้หากต้องใช้

ยาคุมฉุกเฉิน ห้ามใช้ต่อเนื่อง และเรื่องต้องรู้หากต้องใช้ Thumb HealthServ.net
ยาคุมฉุกเฉิน ห้ามใช้ต่อเนื่อง และเรื่องต้องรู้หากต้องใช้ ThumbMobile HealthServ.net

ยาคุมฉุกเฉิน ต้องกินหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ภายใน 24 - 72 ชั่วโมงจะได้ผล และย้ำว่าใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น อย่าใช้ต่อเนื่อง อย่าใช้พร่ำเพื่อ อย่าคิดว่าไม่เป็นอันตราย ห้ามใช้ต่อเนื่องเพราะมีอันตรายในระยะยาว อาจท้องนอกมดลูกได้

ยาคุมฉุกเฉิน ห้ามใช้ต่อเนื่อง และเรื่องต้องรู้หากต้องใช้ HealthServ
 


ยาคุมฉุกเฉิน เรื่องต้องรู้หากต้องใช้

 
ม.มหิดล อธิบายว่า "ยาคุมฉุกเฉิน" เพื่อ "ใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีฉุกเฉิน"  ย้ำนะว่าใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น  ไม่ใช่ปกติก็ใช้ หรือ ใช้เพื่อจะคุมกำเนิดระยะยาว หรือกินเป็นประจำ อันนี้ไม่ถูกต้อง
 
คำว่า "ฉุกเฉิน" ในที่นี้หมายความถึง 
 
- การมีเพศสัมพันธ์ในคู่สามีภรรยา ที่มีการวางแผนครอบครัว และทำการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่เกิดความผิดพลาดจากวิธีคุมกำเนิดที่ใช้ เช่น 
-- การรั่วหรือฉีกขาดของถุงยางอนามัย 
-- การลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดตั้งแต่ 2 เม็ดขึ้นไป เป็นต้น 
 
หรือ
 
ใช้ในกรณีผู้หญิงที่ถูกข่มขืน
 


 

อย่าเข้าใจผิด เกี่ยวกับการใช้ยาคุมฉุกเฉิน 

 


อย่างที่บอกว่า ยานี้ใช้เฉพาะฉุกเฉินเท่านั้น  ที่ต้องย้ำเพราะมีคนจำนวนมาก ไปเข้าใจว่า ใช้ยาคุมแบบนี้ เพื่อประโยชน์อื่นๆ หรือ มีความกลัวต่างๆ นานา ที่ไม่ถูกต้อง 

 
มีหลายเรื่อง เข้าใจกันผิดๆ  ที่จะยกมาเป็นตัวอย่าง ให้เข้าใจ ดังนี้ 
 
 
1. เข้าใจผิด คิดว่า ใช้ยาคุมฉุกเฉิน เพื่อคุมกำเนิดระยะยาวได้  
หมายถึง เชื่อว่า หรือคิดกันว่า กินยาคุมฉุกเฉิน กันท้องได้  กินแล้วมีเพศสัมพันธุ์ได้ไม่ท้อง แม้ในเวลาปกติ 
 
ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง : หากสามีภรรยาที่ยังไม่พร้อมมีบุตรแต่ต้องการคุมกำเนิดในระยะยาว มีวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่าเช่น การรับประทานยาคุมกำเนิดแบบปกติชนิดเม็ด โดยรับประทานทุกวันวันละ 1 เม็ด นอกจากนี้ การรับประทานยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำจะพบอาการข้างเคียงสูง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกกะปริดกะปรอย รวมทั้งพบความเสี่ยงในการเกิดอุบัติการณ์การตั้งครรภ์นอกมดลูกเพิ่มขึ้น


 

2. เข้าใจผิด คิดว่า ใช้ยาคุมฉุกเฉิน  เป็นยาทำแท้ง!
 
ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง :  ยาคุมฉุกเฉินสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เท่านั้น  ไม่เกี่ยวกับารทำแท้ง หรือ ทำให้แท้ง แต่อย่างใด  
 
ยาคุมฉุกเฉิน เป็น ยาที่จะเข้าไปในร่างกาย ก่อนที่จะมีการฝังตัวของไข่ที่เยื่อบุโพรงมดลูก   แต่หากไข่ที่ผสมกับอสุจิได้ฝังตัวที่ผนังมดลูกไปแล้ว ยานี้จะทำอะไรไม่ได้ 
 
และคนละเรื่องกับการแท้ง 
 
 
 
 
3. เข้าใจผิด คิดว่า ใช้ยาคุมฉุกเฉิน  ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ 
 
ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง :   การใช้ยาคุมฉุกเฉินนั้น ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้เลย  
 
วิธีที่จะป้องกันโรคติดต่อ คือ การใช้ถุงยางอนามัย 
 
และ การใช้ถุงยางอนามัย ก็เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ได้ผลดีระดับหนึ่งเลย 


 
 
4. เข้าใจผิด คิดว่า ยาคุมฉุกเฉิน  จะทำให้ทารกพิการ  หรือหากกินยานี้ เข้าไปโดยไม่รู้ว่าตั้งท้องอยู่ จะมีอันตรายต่อเด็ก 
 
ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง :  เหตุเพราะ ในทางการแพทย์ มีรายงานว่า ไม่พบทารกพิการจากมารดาที่รับประทานยาโดยไม่ทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์
 
 
 
 

คำเตือนจาก อย. 
 

 
อย. ได้ออกคำเตือน เกี่ยวกับการใช้ ยาคุมฉุกเฉิน  เช่นกันว่า "ให้ใช้เฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น"  เพราะมีผลข้างเคียง และ ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ได้ 
 
 

รู้จักยาคุมฉุกเฉิน

 
รู้เพิ่มเติมในเชิงลึกกันอีกนิด เกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน 
 
- ยาคุมฉุกเฉินเป็นชนิดฮอร์โมนเดี่ยว มีส่วนประกอบของ โปรเจสโตเจนปริมาณสูง
- ยาคุมฉุกเฉิน มี 2 ขนาดคือ 0.75 มิลลิกรัมต่อเม็ด และ 1.5 มิลลิกรัมต่อเม็ด 


การใช้งานยาคุมฉุกเฉิน

ทำได้ 2 แบบ คือ 
 
แบบแรก
กินยาขนาด 0.75 มิลลิกรัม เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์  ที่ไม่ได้ป้องกัน และเม็ดที่ 2 กินภายใน 12 ชั่วโมงต่อมา 
 
แบบที่สอง
กินยาขนาด 1.5 มิลลิกรัม เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือภายใน 72 ชั่วโมง 
 
การใช้ทั้ง 2 แบบให้ผลไม่ต่างกัน 
 
แต่ยาคุมฉุกเฉินควรใช้ในกรณี ที่ไม่ได้ใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น ๆ หรือมีความผิดพลาดจากการคุมกำเนิด เช่น ถุงยางรั่วหรือแตก การลืมกินยา  คุมมากกว่า 3 วัน เป็นต้น 
 
และ ย้ำว่าควรใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
 
เพราะแม้จะควบคุมการตั้งครรภ์ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยจากการตั้งครรภ์ 100%
 
รวมถึงไม่สามารถป้องกันโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส 
 
 
 

ทำไมถึงห้ามกินยาคุมฉุกเฉิน เพื่อคุมกำเนิด

 
เพราะว่า ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มี ปริมาณขนาดฮอร์โมนที่สูง (เพื่อให้มีฤทธิ์สูง เพื่อไป รบกวน หรือชะลอการตกไข่ นั่นเอง)  ทำให้เกิดอาการข้างเคียงสูง จะทำให้ ประจำเดือนมาผิดปกติ เลือดออกกะปริบกะปรอย และยิ่งใช้นาน จะยิ่ง ทำให้เสี่ยงท้องนอกมดลูก สูงมาก 
 
 


 
 

วิธีกินยาคุมฉุกเฉิน


การกินยาที่ถูกต้องคือ
 
- กินยาเม็ดแรกให้เร็วที่สุด ไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง  หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน และจะต้องกินยาเม็ดที่สอง ต่อจาก ยาเม็ดแรกไม่เกิน 12 ชั่วโมง 
 
หากมีการอาเจียนภายใน  2 ชั่วโมงหลังกินยาแต่ละเม็ด ต้องกินยาใหม่  และไม่แนะนำให้กินยาเกิน  4  เม็ด หรือ 2 กล่อง ต่อเดือน
 
- กินยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ดังกล่าวตามด้วยยาเม็ดที่สอง จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75% 
 
- แต่หากเริ่มกินยาภายใน 24 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเป็น 85% 
 

ดังนั้นจึงควรกินยาเม็ดแรก ให้เร็วที่สุด หลังการมีเพศสัมพันธ์
 


มีคำแนะนำด้วยว่า สามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉิน 2 เม็ด พร้อมกันในครั้งเดียวได้ โดยที่ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ไม่แตกต่างจากการแบ่งรับประทานเป็น 2 ครั้ง ซึ่งในสหรัฐอเมริกานิยมรูปแบบการรับประทานในครั้งเดียว และมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในรูปแบบยาที่มีความแรงเป็น 2 เท่า คือ มีตัวยาลีโวนอร์เจสเตรลเม็ดละ 1.5 มิลลิกรัม การรับประทานเพียงครั้งเดียว จะทำให้เกิดความสะดวกมากกว่าการแบ่งยารับประทาน 
 
อย่างไรก็ตามในบางรายอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการรับประทานยาเพียงครั้งเดียวมากกว่าการแบ่งรับประทาน 2 ครั้ง
 
 
 
 

ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาคุมฉุกเฉิน

 
ผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉิน  เช่น 
 
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ เลือดออกกะปริบกะปรอย 
- รู้สึกพะอืดพะอม คลื่นไส้ อาเจียน 
- ปวดศีรษะ 
- ประจำเดือน อาจมาเร็ว หรือ ช้ากว่าปกติ ได้ 
- มีอาการปวดท้องคล้ายกับตอนมีประจำเดือน *จึงไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมฉุกเฉินแทนการคุมกำเนิดปกติ
 
อาการข้างเคียงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา การรับประทานในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด 
 
 
 

หากใช้ยาติดต่อกันนานๆ จะเกิดผลอย่างไร 

 
การใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ นอกจากประสิทธิภาพที่ด้อยกว่า เมื่อเทียบกับการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบปกติชนิดเม็ดแล้ว อาจทำให้มีผลตามมาหลายอย่าง เช่น
 
- อาจทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก 
- เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้มากขึ้น 
 
 
ดังนั้นการใช้ยานี้จึงควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และไม่แนะนำให้รับประทานเกิน 4 เม็ด หรือ 2 กล่อง ต่อเดือน
 


+++++







อย. และ คลังความรู้ สธ.

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด