สาเหตุมีหลาย factor เช่น
1.กรรมพันธ์,ยีน มีประวัติคนเป็นในครอบครัว
2.โรคของลำไส้บางชนิด เช่น ติ่งเนื้อในลำไส้ (FAP=familial adenomatous polyposis coli) พวกนี้โอกาศเป็นมะเร็ง 100% ฉะนั้นมักต้องตัดลำไส้ทันทีที่ทราบว่าเป็นลำไส้อักเสบเรื้อรัง(ulcerative colitis)
3.ในเรื่องของอาหารการกินก็มีส่วน คือพบว่าการกินอาหารไขมันสูง,กากน้อย จะทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น (High fat,low fiber) ทำให้โรคนี้มักเป็นกันมากในแถบ europe และ USA ซึ่งทานแต่เนื้อไม่ค่อยทานผัก (พวก fast food)
4.เป็นเอง ไม่ทราบสาเหตุ
อาการ ขึ้นกับตำแหน่งที่เป็น คือ
- ลำไส้ใหญ่ฝั่งขวา อาจมาโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้อง ถ่ายเป็นมูกเลือดประจำ อ่อนเพลีย ซีด น้ำหนักลดจากการเสียเลือดเรื้อรัง
- ลำไส้ใหญ่ฝั่งซ้าย อาจมาด้วย ปวดท้อง ท้องอืดประจำ อาจมีถ่ายเป็นมูกเลือดได้ แต่พวกนี้มักมาด้วย
- ลำไส้อุดตันบ่อยครับ คือท้องอืดไม่ถ่าย ไม่ผายลม ต้องรีบ ผ่าตัดเลยครับ อาจมีอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีด ได้เหมือนกัน
- ลำไส้ตรง อาจมีอาการท้องเสีย สลับท้องผูกประจำ, ถ่ายเป็นมูกเลือด, ซีดลง, ถ่ายไม่สุด, ถ่ายลำเล็กลง, ถ่ายเป็นเม็ดกระสุนออกมา จนถึงอุดตัน จนถ่ายไม่ออก ท้องอืด
สรุปอาการที่เด่นๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน คือ อ่อนเพลีย ซีด ปวดท้อง แน่นท้อง รวมทั้งถ่ายเป็นมูกเลือดครับ
การตรวจวินิจฉัย
นอกจากตรวจร่างกายแล้ว ก็อาจใช้การสวนแป้งและส่องกล้อง เพื่อตรวจให้ละเอียด
จากสาเหตุดังกล่าวการป้องกันเท่าที่ทำได้ คือ
- ถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยง คงต้องพบแพทย์สม่ำเสมอ อาจต้องตรวจอุจจาระ ส่องกล้องดูลำไส้ ประจำ เช่นปีละครั้ง เมื่ออายุมากกว่า 35 ปี
- ถ้าไม่เป็นกลุ่มเสี่ยง ก็กินผักมากๆ อาหารมันๆน้อย ถ่ายอาจตรวจอุจจาระ (stool occult blood) ปีละครั้ง
เริ่มตอนอายุ 40 ปี แค่นี้ก็พอครับ
โดย นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์