รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้อย่างไร?
1.การรักษาด้วยวิธีการไม่ใช้ยา
ผู้ป่วยควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค การปฏิบัติตัว และการใช้ยา ผู้ป่วยไม่ควรใช้ข้อทำงานหนักมากเกินไป ควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ วิธีการทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูมีส่วนสนับสนุนสำคัญในการช่วยรักษาและฟื้นฟูสภาพ ทำให้ผู้ป่วยปวดข้อน้อยลงและช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น การปรับสภาพแวดล้อม ภายในบ้านอาจมีความจำเป็น เช่น การปรับก๊อกน้ำเป็นชนิดใช้มือปัดแทนชนิดใช้มือหมุน การอาบน้ำด้วยผักบัวแทนการใช้ขัน เป็นต้น
2.การรักษาด้วยวิธีการใช้ยา
ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ดีขึ้น มีการพัฒนาวิธีการรักษาโดยการใช้ยาหลายขนานร่วมกัน ทำให้ควบคุมข้ออักเสบได้ดีขึ้น ลดการทำลายข้อ โอกาสที่จะเกิดความพิการเมื่อเทียบกับในอดีตพบว่าลดลงอย่างชัดเจน ยาที่ใช้ในการรักษาประกอบด้วยยาหลายกลุ่ม ดังนี้
ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
เช่น Ibuprofen, Naproxen, Indomethacin และ Diclofenac เป็นต้น ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติบรรเทาปวด และลดการอักเสบ แต่มีผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น การระคายเคืองกระเพาะอาหาร ตับอักเสบ อาการบวมน้ำ ความดันโลหิตสูง และเลือดออกแล้วหยุดยาก เป็นต้น การรับประทานยาในกลุ่มนี้ควรรับประทานหลังอาหารทันที ในปัจจุบันมีการพัฒนายากลุ่มใหมม่ ซึ่งมีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารน้อยกว่ายาต้านการอักเสบเดิม แต่ประสิทธิภาพบรรเทาปวด และลดการอักเสบเท่าเดิม ยากลุ่มนี้เช่น Meloxicam, Celecoxib และ Etooricoxib เป็นต้น
ยาต้านรูมาติสซั่มที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค
ยาในกลุ่มนี้ไม่มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดโดยตรง แต่จะออกฤทธิ์ทำให้เซลก่อการอักเสบหลั่งสารก่อการอักเสบลดลง ทำให้ข้ออักเสบลดลง ควบคุมโรคได้ดีขึ้น เนื่องจากยาไม่ได้ออกฤทธิ์บรรเทาปวดโดยตรง จึงต้องรอเวลายาออกฤทธิ์หลายสัปดาห์หรือหลายเดือน แล้วแต่ชนิดของยา ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด เช่น Chloroquine, Sulfasalazine, Methotrexate, Gold Salt และ Leflunomide เป็นต้น ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่อาจพบได้ แตกต่างกัน แล้วแต่ชนิดของยา เช่นผลข้างเคียงต่อจอประสาทตา ตับอักเสบ กดไขกระดูก และพังผืดปอด เป็นต้น ดังนั้นการใช้ยาเหล่านี้ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์
หรือยาสเตียรอยด์ เป็นยาที่ระงับการอักเสบได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพดี แต่ผลข้างเคียงมาก เช่น ผิวหนังบาง น้ำหนักขึ้น ภาวะกระดูกบาง ต้อกระจก กระดูกขาดเลือด เป็นต้น อาจใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการรรุนแรง หรือเพื่อควบคุมโรคในการรักษาช่วงแรกขณะที่ยาในกลุ่มต้านรูมาติสซั่มที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคยังไม่ออกฤทธิ์ เมื่อควบคุมโรคได้ดีแล้วก็จะลดขนาด
ยาต้านสารซัยโตไคน์
ในปัจจุบันพบว่า สารก่อการอักเสบที่สำคัญในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์คือสารซัยโตไคน์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นกระบวนการอักเสบต่าง ๆ จึงมีการพัฒนายาต้านสารซัยโตไคน์ขึ้น ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น Infliximab, Etanercept และ Adalimumab เป็นต้น ยาในกลุ่มนี้ มีประสิทธภาพในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ดีมาก ลดการอักเสบได้รวดเร็ว และ ยับยั้งการทำลายข้อได้ สามารถใช้ในผู้ป่วยซึ่งไม่ตอบสนองต่อยาต้านรูมาติสซั่มที่ปรับเปลี่ยน การดำเนินโรค ผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อวัณโรคแทรกซ้อนได้ การรักษาด้วยยาในกลุ่มนี้มีค่าใช้จ่ายสูง
3. การรักษาด้วยการผ่าตัด
การรักษาด้วยการผ่าตัด เป็นการรักษาที่สำคัญอีกวิธีหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมอตอยด์ มีส่วนช่วยแพทย์ให้ดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น การผ่าตัดในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เช่น การผ่าตัดลอกเยื่อบุข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม การผ่าตัดซ่อมแซม กรณีข้อผิดรูป เป็นต้น
ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากขึ้น ทำให้ผลการรักษา โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ช่วยลดความทุกข์ทรมานลดความพิการ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องอาศัยการวินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่ระยะแรกของโรค รวมถึงความเข้าใจโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องของผู้ป่วย
ด้วยความปรารถนาดี รพ.วิภาวดี