หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายทำให้แนวโน้มธุรกิจโรงพยาบาลกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ทีมีอาจารย์แพทย์จากต่างชาติร่วมเป็นพันธมิตร ซึ่งล้วนมีความเชี่ยวชาญและข้อมูลเชิงลึกในด้านการรักษาโรคหมอนรองกระดูก จึงทำให้มั่นใจได้ว่าการรักษาในแบบของเอส สไปน์ ไม่เป็นสองรองใคร
สำหรับทิศทางแนวโน้มธุรกิจโรงพยาบาลด้านกระดูกสันหลังและระบบประสาท กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน หันมารุกธุรกิจนี้มากยิ่งขึ้น จนเกิดการแข่งขันกันอย่างสูง แต่ก็ยังมั่นใจได้ว่าโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ยังมีจุดแข็งในเรื่องของการรักษาโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลังและระบบประสาทที่เชี่ยวชาญกว่า เพราะเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ทั้งในส่วนของทีมงาน นวัตกรรมใหม่ๆ เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทุกอย่างครบวงจรและมีคุณภาพ จะช่วยทำให้แบรนด์แข็งแกร่งเหนือคู่แข่งขันได้ ทั้งนี้ปัจจุบันคนไข้ 70-80% ยังเป็นคนไข้คนไทย ส่วนที่เหลือ 20-30% จะเป็นคนไข้ต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง และกลุ่ม CLMV เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายการขยายฐานคนไข้ ในกลุ่มนี้จึงเกิดขึ้น
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ โรงพยาบาลเอส สไปน์ ได้เข้าร่วมงาน Oman Health Exhibition & Conference ณ รัฐสุลต่านโอมาน ซึ่งเป็นงานประจำปีระดับนานาชาติ ที่จัดแสดงนวัตกรรม เทคโนโลยีด้านสุขภาพและการแพทย์โดยธีมการจัดงานในปี 2023 นี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ด้านสุขภาพในปี 2050 ของรัฐบาลโอมานที่มุ่งเป้าจัดการกับความท้าทายตลอดจนการหารือเกี่ยวกับความคิดริเริ่มในการปรับปรุงด้านสุขภาพและการแพทย์
ขณะที่ นายแพทย์ดิตถพงษ์ บุญอำพล ผู้อำนวยการ รพ.เอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ นำทีมแพทย์และบุคลากรเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังไปให้คำแนะนำ และตรวจอาการของผู้ที่เข้ามาร่วมในงาน พร้อมวางแผนการรักษาสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังอันเกิดมาจากโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง นอกจากนี้ รพ.เอสฯ ยังได้นำนวัตกรรมการปรึกษาผ่านระบบทางไกลแบบ VR Telemedicine ให้กับผู้ที่สนใจได้ทดลองพูดคุยกับแพทย์เสมือนกับได้นั่งตรวจอยู่ในที่เดียวกัน
นอกจากนี้ โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษโดยการเปิดบ้านต้อนรับแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังจากประเทศอินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการศึกษาดูงานการผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยกล้องเอ็นโดสโคปแบบครบวงจร ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความร่วมมือทางการแพทย์ และการพัฒนาความชำนาญ แบ่งปันเทคนิคในด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังโดยใช้กล้องเอ็นโดสโคปให้แก่นานาชาติอีกด้วย
นพ.เมธี ภัคเวช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังจากโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ได้ให้การต้อนรับแพทย์จากทั้ง 2 ประเทศ พร้อมเผยเทคนิคการรักษาผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังผ่านกล้องเอ็นโดสโคป อาทิ การรักษาหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอทับเส้นประสาทด้วยเทคนิค PSCD , การรักษากระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท ด้วยเทคนิค Full Endo TLIF และ การรักษาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือโรคโพรงประสาทตีบแคบ ด้วยเทคนิค PSLD เป็นต้น
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้แสดงให้นานาชาติเห็นถึงศักยภาพด้านการแพทย์ และตอกย้ำความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต นอกเหนือไปจากการช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงาน และดึงเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศแล้ว ยังส่งผลบวกต่อการเชื่อมโยงไปยังหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้อีกมาก
องค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเป็น Medical Hub ของไทย คือ
- ศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ (Medical Service Hub)
- ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub)
- ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ (Product Hub)
- ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub)
ทั้งนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า บริการทางการแพทย์ของไทย มีความพร้อมที่จะช่วยส่งเสริมการเป็น Medical Hub สะท้อนจากความมีชื่อเสียงในด้านคุณภาพการรักษา จนเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติอ ซึ่งหากผนวกเข้ากับเทรนด์การแพทย์สมัยใหม่ ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพการรักษาของไทยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศที่มีวิทยาการด้านการแพทย์ชั้นนำอย่างสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป
โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ปรึกษา โทร.020340808