ลงพื้นที่ตรวจค้น 8 จุด 4 จังหวัด
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก อย. และ สบส. ให้ทำการสืบสวนกรณีมีบุคคลแอบอ้างตัวเป็นแพทย์หลอกเสริมความงามให้ประชาชนในหลายพื้นที่ ระหว่างวันที่ 23 - 29 พฤศจิกายน 2565 จึงทำการสืบสวนและร่วมกับ อย., สบส. และ สสจ. ประจำแต่ละจังหวัด ลงพื้นที่ตรวจค้นพื้นที่ กรุงเทพมหานคร,ชลบุรี, จ.สมุทรสงคราม และ จ.ปทุมธานี รวมทั้งหมด 8 จุด ผู้ต้องหา 8 ราย ตรวจยึดของกลาง 836 รายการ รายละเอียดดังนี้
1. บ้านเลขที่ 134/62 ต.แม่กลอง อ.เมืองสมุทรสงคราม จ.สมุทรสงคราม จับกุม น.ส.ธนัศร(สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี ในความผิดฐาน “ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา โดยจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และอาศัยประสบการณ์ที่เคยเป็นผู้ช่วยพยาบาลมาก่อน ซึ่งทำมาแล้วประมาณ 1 ปี
2. มินท์มันตรา คลินิกเวชกรรม” เลขที่ 2/2 (ชั้น 1) ซอยรามอินทรา 5 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร จับกุม น.ส.ศรีษุณี (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี (ทำการรักษานอกเวลาที่ขออนุญาต) ในความผิดฐาน “ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา” โดยจบการศึกษาระดับชั้น ปวส. และทำมาแล้วประมาณ 6 ปี
3. อาร์ซีเอ คลินิกเวชกรรม เลขที่ 25/20 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม จับกุม น.ส.ณปาภัทร(สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ในความผิดฐาน “ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา และขายเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รัอนุญาต” จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะพยาบาลศาสตร์ โดยทำมาแล้วประมาณ 5 ปี
4. โรเซ่ คลินิกเวชกรรม เลขที่ 16 ซ.สันติสุข แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร จับกุม นายจิรัฏฐ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี ในความผิดฐาน “ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา” จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยทำมาแล้วประมาณ 1 ปี
5. ห้องเลขที่ 32/18 อาคาร C ไอวี่รัชดาคอนโด ซ.รัชดา 20 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร นางสาวศศิพัชร์ (สงวนนามสกุล) ในความผิดฐาน “ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต และขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะพยาบาลศาสตร์ โดยทำมาแล้วประมาณ 1 ปี
6. ใจอารีย์ คลินิกเวชกรรม เลขที่ 49/37 หมู่ที่ 14 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายกรกรต (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี ในความผิดฐาน “ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต และขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” จบการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยเคยมีประสบการณ์การทำงานในคลินิกมาก่อน จากนั้นมาเปิดคลินิกและตรวจรักษาเอง
7. ร้านพาซาลอน เลขที่ 148/51หมู่ที่ 5 ซอยนาเกลือ 19 ถ.พัทยา-นาเกลือ ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี น.ส.บุญพา (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี ในความผิดฐาน “ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา” จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยศึกษาวิธีการฉีดเสริมความงามด้วยตนเองจากช่องทาง YouTube จากนั้นสั่งยาต่าง ๆ จากช่องทางออนไลน์และทดลองฉีดหน้าตนเองก่อนในช่วงแรก
8. ร้านต่อขนตา By มะปราง ห้องเลขที่ 104 หมู่ที่ 12 ต.ดอนหัวฬอ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี น.ส.อังคนาง (สงวนนามสกุล) ในความผิดฐาน “ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา” จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยมีประสบการณ์เคยเป็นผู้ช่วยแพทย์มาก่อน และทำมาแล้วประมาณ 3 เดือน
รวมตรวจค้น 8 จุด โดยเป็นคลินิกที่ไม่ได้รับอนุญาต 4 แห่ง ตรวจยึดของกลาง 836 รายการ
เป็นยาและเวชภัณฑ์ 109 รายการ, เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ในการตรวจคนตรวจรักษา 57 รายการ,
เวชระเบียน 670 รายการ ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต 8 ราย โดยผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาและไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมแต่อย่างใด
โดยจบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะพยาบาลศาสตร์ 2 ราย, ปริญญาตรี 1 ราย, มัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 3 ราย, ประกาศณียบัตรวิชาชีพชั้นสูง 1 ราย และประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 1 ราย
ฐานความผิด
เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม
1. พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ฐาน “ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ฐาน “ประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 ฐาน “ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และ “ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 ฐาน “ขายเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ย้ำ วิชาชีพเวชกรรม ต้องมีใบประกอบฯ
นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า การฉีดสารเสริมความงาม ไม่ว่าจะเป็นฟิลเลอร์ หรือโบท๊อกซ์ นั้น ถือว่าเป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม จะต้องให้บริการโดยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพ และกระทำในสถานพยาบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ไม่มีการเดินสายให้บริการนอกสถานพยาบาลแต่อย่างใด หากพบเห็นการให้บริการฉีดสารเสริมความงามนอกสถานที่ขอให้ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นหมอเถื่อน หมอกระเป๋า ซึ่งการฉีดสารเสริมความงามด้วยบุคคลที่มิใช่แพทย์นั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกาย ซึ่งอาจมีความรุนแรงถึงขั้นพิการ หรือเสียชีวิต จากการที่สารเสริมความงามรั่วไหลเข้าไปอุดตันในเส้นเลือด หรือเกิดการติดเชื้อ กรม สบส. จึงขอเน้นย้ำให้เลือกรับบริการเสริมความงามกับสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น โดยก่อนรับบริการก็ควรตรวจสอบหลักฐาน 5 ประการ ซึ่งสถานพยาบาลจะต้องแสดง ได้แก่
1. ป้ายชื่อคลินิกต้องแสดงเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก
2. มีการแสดงใบอนุญาตเปิดกิจการคลินิก เลขใบอนุญาตต้องตรงกับเลขที่ที่ติดที่ป้ายชื่อคลินิก
3. มีการแสดงใบอนุญาตให้ดำเนินการ
สถานพยาบาล
4. มีการแสดงหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมคลินิกที่เป็นปีปัจจุบัน
5. มีการแสดงหลักฐานของแพทย์ที่ให้บริการในคลินิก โดยมี ชื่อ-นามสกุล และภาพถ่ายติดที่หน้าห้องตรวจ โดยสามารถตรวจสอบชื่อคลินิกได้ที่เว็บไซต์กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ (www.mrd-hss.moph.go.th) และตรวจสอบชื่อแพทย์ได้ที่เว็บไซต์แพทยสภา (www.tmc.or.th)
หากไม่พบ หรือสถานพยาบาลแสดงหลักฐานไม่ครบถ้วน ไม่ควรเข้ารับบริการ และขอให้แจ้งเบาะแสมาที่สายด่วนกรม สบส. 1426 หรือทางหมายเลขโทรศัพท์ 02 193 7000 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ปลอม หมอเถือน เกลื่อน!
ภญ.อรัญญา เทพพิทักษ์ ผอ.ศรป. และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของยาและการใช้ยา กล่าวว่า ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ต้องการดูแลภาพลักษณ์ตนเองให้ดูดีอยู่เสมอ ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือร้อยไหม จึงได้รับความนิยม เพื่อช่วยในการเติมเต็มรูปหน้า เช่น เสริมจมูก เสริมคาง เสริมแก้ม หรือเพื่อเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า เติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม รอยย่นบนหน้าผาก รอยตีนกาหรือแม้แต่การบำรุงผิวให้กระชับ
เมื่อความนิยมมีมากขึ้น ผนวกกับความต้องการเสริมความงามในราคาถูก จึงมีหมอเถื่อนมากมายที่ใช้สารฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ปลอม หรือไม่ได้รับอนุญาตฉีดเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งไม่มีทั้งในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย
จึงขอฝากผู้ที่ต้องการเสริมความงาม ควรเลือกรับบริการจากสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้บริการ ก่อนการฉีดควรสอบถามและขอดูตัวสารที่ฉีดว่าได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายจาก อย. หรือไม่ เพราะผลที่เกิดขึ้นจากการใช้ฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ปลอมฉีดเข้าร่างกายนั้น อาจเกิดอันตรายจนถึงแก่เสียชีวิตตามที่เคยปรากฎเป็นข่าวมาแล้ว
ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th หากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Email: 1556@fda.moph.go.th Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือตู้ปณ.1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
เจอหมอเถือน/ของเถื่อน แจ้งสายด่วน บก.ปคบ.1135
พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ. กล่าวฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนว่า ควรศึกษาข้อมูลคลินิก แพทย์และขั้นตอนการรักษาให้ดีก่อนที่จะเข้ารับบริการเสริมความงาม เนื่องจากการเสริมความงามเป็นขั้นตอนและวิธีการที่จะต้องใช้ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและเกิดผลกระทบกับร่างกายโดยตรง และแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ลักลอบกระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่สวมรอยเป็นหมอ, หมอเถื่อน หรือคลินิกเถื่อน ให้หยุดพฤติการณ์ดังกล่าวทันที เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการจับกุมอย่างต่อเนื่อง หากตรวจพบจะดำเนินคดีโดยเด็ดขาด พี่น้องประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน บก.ปคบ.1135 หรือเพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค