ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

เคลียร์ชัดๆ ขั้นตอนสมัครเบี้ยยังชีพคนชรา ปี 2566-2567

เคลียร์ชัดๆ ขั้นตอนสมัครเบี้ยยังชีพคนชรา ปี 2566-2567 Thumb HealthServ.net
เคลียร์ชัดๆ ขั้นตอนสมัครเบี้ยยังชีพคนชรา ปี 2566-2567 ThumbMobile HealthServ.net

เบี้ยผู้สูงอายุ หรือ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คือสิทธิสวัสดิการที่รัฐจัดให้เพื่อผู้สูงวัยคนไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือ ค่าใช้จ่ายค่า ครองชีพในแต่ละเดือน เนื่องจากรายได้ จากอาชีพผู้สูงอายุที่ทำอยู่ในแต่ละเดือน อาจไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย

โดยแต่ละปีจะมีการเปิดให้ผู้ที่มีคุณสมบัติรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรายใหม่มาลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ
 
ปัจจุบันประเทศไทย มีผู้สูงอายุ มากกว่า 12 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศแล้ว


 
 

เบี้ยผู้สูงอายุ ปี 2566 และ ปี 2567

 
ปี 2566
คือผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนตั้งแต่ ตุลาคม 2564 - กันยายน 2565
และจะได้รับเบี้ยประจำปี 2566 ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2565 - กันยายน 2566
 
ปี 2567
คือผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนตั้งแต่เดือน มกราคม - กันยายน 2566
และจะได้รับเบี้ยประจำปี 2567 ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2566 - กันยายน 2567





*การคำนวณอายุของผู้สูงอายุรายเดิม จะคำนวณตามปีงบประมาณ
(การเลื่อนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรายเดิมแบบขั้นบันไดจะเลื่อนตามปีงบประมาณ ไม่มีการเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในระหว่างปีงบประมาณ)


 

สิทธิและสวัสดิการที่ผู้สูงอายุ จะได้รับมีอะไรบ้าง
 

นอกจากจะรับเบี้ยยังชีพเป็้นเงินช่วยเหลือแล้ว ผู้สูงอายุยังมีสิทธิ์ที่จะได้รับสิทธิและสวัสดิการผู้สูงอายุอื่น ซึ่งแบ่งเป็น 16 ด้าน ดังนี้
 
1. เบี้ยผู้สูงอายุ

ปัจจุบันกำหนดจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุตามกรอบอายุ ดังนี้
อายุ 60-69 ปี ได้รับ 600/เดือน
อายุ 70-79 ปี ได้รับ 700/เดือน
อายุ 80-89 ปี ได้รับ 800/เดือน
อายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับ 1,000/เดือน
 

 
2. ลดค่าโดยสารยานพาหนะสาธารณะ ครึ่งราคา อาทิ รถไฟ, รถเมล์ขสมก., รถไฟฟ้า MRT, รถไฟฟ้า BTS, รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์, รถบขส., เรือด่วนเจ้าพระยา และเรือคลองแสนแสบ

3. ลดหย่อนภาษีแก่บุตรกรณีที่เลี้ยงดูบิดามารดาที่สูงอายุ 3 หมื่นบาทต่อผู้สูงอายุ 1 คนต่อปี

4. ขอปรับสภาพที่อยู่อาศัย สำหรับผู้สูงอายุที่ยากจน มีที่อยู่อาศัยไม่มั่นคงและเหมาะสม สามารถขอปรับสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกให้เหมาะสมปลอดภัย เหมาจ่าย 22,500 บาท หรือ 40,000 บาทต่อคน

5. ด้านกู้ยืมเงินทุนปลอดดอกเบี้ย เพื่อประกอบอาชีพจากกองทุนผู้สูงอายุได้ คนละไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือรวมกลุ่ม ไม่น้อยกว่า 5 คน กู้ได้ไม่เกิน 1 แสนบาท แต่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ระยะเวลาจ่ายหนี้เป็นเวลา 3 ปี

6. สิทธิด้านอาชีพ ผู้สูงอายุสามารถขอคำปรึกษา แนะนำ และสมัครงาน รวมทั้งฝึกอาชีพ

7. ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมในพื้นที่สาธารณะ อาทิ พิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ฯลฯ ประกอบด้วย ลิฟท์ ราวบันได ทางลาด ที่จอดรถ ห้องน้ำ ฯลฯ

8. สิทธิด้านการศึกษาเพื่อผู้สูงอายุได้เรียนรู้ สอดคล้องกับความต้องการให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

9. สิทธิด้านการแพทย์ ผู้สูงอายุสามารถเข้ารับบริการดูแลสุขภาพต่าง ๆ ผ่านช่องทางพิเศษ

10. การช่วยเหลือด้านกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม มีบริการให้คำปรึกษา ช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้สูงอายุ เช่น ให้เงินค่าจ้างทนาย ค่าธรรมเนียมขึ้นศาล ค่าวางเงินประกันปล่อยตัวชั่วคราว เป็นต้น

11. ยกเว้นค่าเข้าชมสถานที่ของรัฐแก่ผู้สูงอายุ เช่น พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสัตว์ เป็นต้น

12. เปิดให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น สถานกีฬาต่าง ๆ ส่วนศูนย์กีฬาในร่ม ได้ลดค่าสมัครสมาชิกครึ่งราคา

13. ด้านบริการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ถูกทารุณกรรม ถูกทอดทิ้ง มีอันตราย หรือถูกหาประโยชน์ โดยจัดหาที่พักอาศัยปลอดภัย ฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ

14. สิทธิด้านอาหารและเครื่องนุ่งห่ม กรณีผู้สูงอายุที่ประสบปัญหา สามารถขอรับเงินช่วยเหลือได้คนละไม่เกิน 3,000 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง

15. กรณีผู้สูงอายุยากจนและขาดผู้ดูแล สามารถขอใช้บริการศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุได้

16. กรณีผู้สูงอายุยากจนและเสียชีวิต ญาติสามารถขอรับเงินจัดการศพรายละไม่เกิน 3,000 บาท ได้ภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่วันออกใบมรณะบัตร
 

การสมัครรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

 
เงื่อนไขและคุณสมบัติในการลงทะเบียน เพื่อรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
  • มีสัญชาติไทย
  • มีภูมิลำเนาอยู่ในเขต/ตำบล ตามทะเทียนบ้าน
  • ต้องไม่เคยมีประวัติลงทะเบียนขอเบี้ยยังชีพมาก่อน
  • สามารถลงทะเบียนใหม่ได้ในกรณีย้ายภูมิลำเนา เช่น ปี 2563 เคยลงทะเบียนไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่ และในปี 2566 ได้ย้ายมาที่กรุงเทพฯ ก็จำเป็นต้องลงทะเบียนใหม่กับสำนักเขตกรุงเทพมหานคร
  • ต้องไม่เคยได้รับเบี้ย หรือ สิทธิประโยชน์จากหน่วงงานรัฐรายเดือน เช่น รัฐวิสาหกิจ, เบี้ยบำนาญ, เบี้ยหวัด, ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐ หรือ ของสำนักงานท้องถิ่น และอื่นๆ ฯลฯ ในกรณีเดียวกัน เป็นต้น
  • มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 คือ ต้องเกิดก่อนวันที่ 2 กันยายน 2507 (สำหรับผู้ที่ทราบแค่ปีเกิด แต่ไม่ทราบวันเกิด/เดือนเกิด ให้ถือว่าเกิดวันที่ 1 มกราคมของปีนั้น ๆ)
 
เอกสารการลงทะเบียนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
  • ประจำตัวประชาชน หรือ บัตรที่ออกโดยหน่วยงานรัฐที่มีรูปถ่าย
  • ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน
  • สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ในกรณีที่ขอรับเบี้ยผ่านทางธนาคาร
 
เอกสารการลงทะเบียนเบี้ยยังชีพ ในกรณีที่ผู้สูงอายุไม่สามารถไปได้ด้วยตนเอง
  • หนังสือมอบอำนาจ (ต้องใช้ฟอร์มที่ถูกต้อง ซึ่งติดต่อได้ตามสำนักงานเขตแต่ละพื้นที่)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ และผู้รับมอบอำนาจ อย่างละ 1 ฉบับ
  • สำเนาทะเบียนบ้านของผู้มอบอำนาจ และผู้รับมอบอำนาจ อย่างละ 1 ฉบับ
เอกสารทุกฉบับต้องเซ็นต์ชื่อสำเนาถูกต้องโดยผู้สูงอายุเจ้าของเบี้ย หากผู้สูงอายุเขียนไม่ได้ ให้ใช้วิธีการปั๊มลายนิ้วมือแทน
 

สถานที่ในการขึ้นทะเบียนเบี้ยผู้สูงอายุ ต้องไปที่
  • สำนักงานที่มีชื่อ-ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ถ้าเป็นกทม. ไปที่สำนักงานเขต ทั้ง 50 เขต
  • สำนักงานเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
    • กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคมสำนักงานเขตป้อมปราบ ศัตรูพ่าย กทม.โทร.0-2282-4196/
 
 

คำถามข้อสงสัยต่างๆ 


อายุเลย 60 ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพ ต้องทำอย่างไร
สามารถลงทะเบียนได้เลยตั้งแต่เดือน มกราคม-กันยายน ปี 2566 เพื่อขอรับเบี้ยผู้สูงอายุในเดือน ตุลาคม 2566 - กันยายน 2567 เป็นครั้งแรก และไม่มีการจ่ายย้อนหลัง
 
ลงทะเบียนขอรับเบี้ยยังชีพสูงอายุแล้ว ยังต้องลงใหม่อีกไหม
ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใหม่แล้ว เพราะจะมีการจ่ายเบี้ยยังชีพให้ตลอดชีวิต
ลงทะเบียนใหม่แค่เฉพาะเวลาย้ายที่อยู่ใหม่เท่านั้น
 
 
วิธีหลีกเลี่ยงถูกเรียกเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืน
ต้องไม่เป็นผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ. หรือ อบต.) อาทิ เงินบำนาญ เบี้ยหวัด รวมถึงเงินอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับเงินเบี้ยยังชีพ เช่น ผู้สูงอายุที่เคยทำงานและได้รับเงินเดือน มีรายได้ประจำ หรือผลตอบแทนอื่น ๆ จากหน่วยงานรัฐ หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
 
หากผู้สูงอายุมีข้อสงสัย
เพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ทางหน่วยงานที่ลงทะเบียนรับ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไว้ โดยในกรุงเทพมหานครสามารถสอบถามได้ที่สำนักงานเขต ส่วนต่างจังหวัดสอบถามได้ที่เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในท้องถิ่น หรือติดต่อ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เบอร์ 02-2419000 ต่อ 4131
 

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด