ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

กรมวิทย์ฯเปิดตัว แพลตฟอร์ม “ผูกพันธุ์” ผู้ป่วยเช็คผลตรวจพันธุกรรมออนไลน์

กรมวิทย์ฯเปิดตัว แพลตฟอร์ม “ผูกพันธุ์” ผู้ป่วยเช็คผลตรวจพันธุกรรมออนไลน์ Thumb HealthServ.net
กรมวิทย์ฯเปิดตัว แพลตฟอร์ม “ผูกพันธุ์” ผู้ป่วยเช็คผลตรวจพันธุกรรมออนไลน์ ThumbMobile HealthServ.net

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นำร่องให้ประชาชนเข้าถึงผลการตรวจทางเภสัชพันธุศาสตร์ สร้างระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ “ผูกพันธุ์” เพื่อให้แพทย์นำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนป้องกันและรักษาโรคอย่างเฉพาะเจาะจงและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ป้องกันการแพ้ยารุนแรง

 
นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เห็นความสำคัญเกี่ยวกับการแพ้ยารุนแรงของผู้ป่วย จึงสร้างระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม “ผูกพันธุ์” ขึ้น เพื่อรายงานผลการตรวจพันธุกรรมของผู้ป่วย เพื่อประเมินโอกาสที่จะเกิดการแพ้ยารุนแรงของผู้ป่วยว่ามีโอกาสมากน้อยเพียงใด ซึ่งการตรวจทางเภสัชพันธุศาสตร์จะทำให้แพทย์ผู้รักษาสามารถเลือกใช้ยาหรือปรับขนาดยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย และทำให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการแพ้ยา โดยผลการตรวจเภสัชพันธุศาสตร์ เพียงครั้งเดียวจะสามารถใช้ได้ตลอดชีวิต ซึ่งแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยสามารถเข้าถึงข้อมูลผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และใช้ประโยชน์ในการรักษาต่อไปได้


            ทั้งนี้ การตรวจทางพันธุกรรมแรกที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์นําร่องให้บริการแก่ประชาชน ได้แก่ ผลการตรวจทางเภสัชพันธุศาสตร์และเพื่อป้องกันการแพ้ยารุนแรง โดยแบ่งออกเป็น 4 การทดสอบ ได้แก่
  1. การตรวจยีน HLA-B*58:01 สําหรับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol) 
  2. การตรวจยีน HLA-B*15:02  สําหรับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาคาร์บามาซีปีน (Carbamazepine)
  3. การตรวจยีน HLA-B*57:01 สําหรับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาอะบาคาเวียร์ (Abacavir)  และ
  4. การตรวจยีนย่อยยา NAT2 ในผู้ป่วยวัณโรค ที่ได้รับยาไอโซไนอาซิด (Isoniazid)






            ปัจจุบันการตรวจเภสัชพันธุศาสตร์ 4 การทดสอบ สามารถตรวจได้ที่ห้องปฏิบัติการเครือข่ายของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 แห่งทั่วประเทศ โดยนำร่อง “ผูกพันธุ์” ที่โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา นำไปทดลองใช้เป็นแห่งแรก
 
 
 
 

แพลตฟอร์ม “ผูกพันธุ์” รองรับ 3 กลุ่มใช้งาน

 
          ระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม “ผูกพันธุ์” สร้างขึ้นโดยที่ผู้ใช้งานทุกประเภท ต้องกรอกรายละเอียดส่วนบุคคล และทำการยืนยันตัวตนในขั้นตอนสมัครใช้งานระบบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในข้อมูลของผู้ป่วย โดยผู้ใช้งานแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
  1. ประชาชนซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลผลการตรวจทางเภสัชพันธุศาสตร์ของตนเอง
  2. แพทย์และเภสัชกร สามารถเข้าถึงข้อมูลผลการตรวจจากการค้นหาข้อมูลด้วยเลขบัตรประชาชนหรือชื่อและนามสกุล และต้องส่งคำขอเข้าถึงข้อมูลไปยังประชาชนผู้เป็นเจ้าของก่อนถึงจะดูข้อมูลได้
  3. เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการเป็นผู้รายงานผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการลงในระบบผูกพันธุ์ 

 
 

บันทึกข้อมูลสุขภาพบุคคล

            นายแพทย์ปิยะ ศิริลักษณ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเสริมว่า “ผูกพันธุ์” เป็นระบบที่รองรับการแสดงข้อมูลผลการตรวจบนแอปพลิเคชันระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล หรือ personal health record ต่างๆ เช่น หมอพร้อม health link และ health for you สามารถช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล ผลการตรวจเภสัชพันธุศาสตร์ของตนเองได้ และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการตรวจซ้ำซ้อนและลดค่าใช้จ่ายในการรักษาหากมีอาการแพ้ยารุนแรงเกิดขึ้น

            นอกจากนี้ “ผูกพันธุ์”ยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบสารสนเทศของโรงพยาบาล หรือ HIS Hospital Information System ทำให้สามารถส่งข้อมูลผลการตรวจเข้าสู่ระบบของโรงพยาบาลได้ แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยเสียก่อน 

            กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า “ผูกพันธุ์” จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของทางการแพทย์ และช่วยให้แพทย์นำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนป้องกันและรักษาโรคอย่างเฉพาะเจาะจงและแม่นยำมากยิ่งขึ้น


            สำหรับโรงพยาบาลที่สนใจใช้งาน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ศูนย์การแพทย์จีโนมิกส์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โทร. 02 951 0000 ต่อ 98096 หรือที่เว็บไซต์  http://phukphan.dmsc.moph.go.th
กรมวิทย์ฯเปิดตัว แพลตฟอร์ม “ผูกพันธุ์” ผู้ป่วยเช็คผลตรวจพันธุกรรมออนไลน์ HealthServ

คู่มือการใช้งานระบบแพลตฟอร์ม “ผูกพันธุ์”


ประเภทการให้บริการ ได้แก่
  1. ประชาชน - ผู้ที่รับผลการตรวจไปใช้ในการปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  2. แพทย์ หรือเภสัชกร - ผู้ประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และให้คำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสม
  3. ผู้ดูแลห้องปฏิบัติการ - ผู้ลงทะเบียนห้องปฏิบัติการตรวจ หรืออนุมัติให้ผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการ สามารถลงผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการได้
  4. ผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการ - ผู้ลงผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและผู้อนุมัติผลตรวจ






 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการตรวจเภสัชพันธุศาสตร์

 
 
การตรวจเภสัชพันธุศาสตร์ คืออะไร
เป็นการนำข้อมูลทางพันธุกรรม มาใช้ในการทำนายโอกาสการเกิดอาการแพ้ยาที่รุนแรง เป็นการประเมินก่อน ใช้ยาว่าผู้ป่วยมีโอกาสมากน้อยเพียงใดที่จะเกิดการแพ้ยา ทำให้แพทย์ผู้รักษาสามารถเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับ ผู้ป่วยได้ ทำให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการแพ้ยา และลดค่าใช้จ่ายในภาพรวมอีกด้วย
 
 
เมื่อไรที่ควรได้รับการตรวจเภสัชพันธุศาสตร์
เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยโรคต่อไปนี้ เช่น
1. ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง หรือ โรคเก๊าต์ ยาที่ใช้ในการรักษาจะเป็นยา Allopurinol
2. อาการปวดเส้นประสาทใบหน้า และ อาการชัก ยาที่ใช้ในการรักษาจะเป็นยา Carbamazepine
3. กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี ยาที่ใช้ในการรักษาจะเป็นยา Abacavir
4. โรควัณโรค ยาที่ใช้ในการรักษาจะเป็นยา Isoniazid
 
อย่างไรก็ตามยาทั้งสามชนิดนี้ยังเป็นยาที่ก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ทางผิวหนังได้ ซึ่งอาการดังกล่าวมี ทั้งชนิดไม่รุนแรง เช่น maculopapular eruption (MPE) และชนิดที่รุนแรง (severe cutaneous adverse reactions; SCARs) จากการใช้ยา Allopurinol, Carbamazepine และ Abacavir ส่วนยา Isoniazid หากผู้ป่วยไม่ได้รับการตรวจเภสัชพุนธุศาสตร์เพื่อพิจารณายาในขนาดที่เหมาะสม อาจส่งผลให้ เกิดภาวะตับอักเสบได้ ดังนั้นผู้ป่วยที่ต้องเริ่มใช้ยา Allopurinol, Carbamazepine, Abacavir และ Isoniazid จะต้องทำการตรวจตรวจเภสัชพันธุศาสตร์ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา และกำหนดขนาดการใช้ยาให้เหมาะสม
 
 
ผู้ป่วยต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนการเก็บตัวอย่างหรือไม่
การตรวจนี้เป็นการตรวจทางพันธุกรรม ผู้ป่วยไม่ต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ (ไม่ต้องอดอาหารหรือน้ำ) เก็บทุก อย่างได้ทุกเมื่อ
 
 
เมื่อผลการตรวจเป็นบวก หมายความว่าอย่างไร
ผู้ป่วยอาจมีความเสี่ยงต่อการแพ้ยา ซึ่งอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ทางผิวหนัง ได้แก่ SJS/TEN, DRESS และ MPE โดยจะมีอาการที่สามารถสังเกตได้ดังต่อไปนี้ 1. Stevens Johnson Syndrome (SJS)
 
อาการ : เกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนัง คือ ผิวหนังตายและลอกทั้งตัวนอกจากนั้นยังเกิดผื่นแพ้ยาที่เยื่อบุทั่วร่างกาย เช่น ในปาก หลอดอาหาร ลำคอ หลอดลม กล่องเสียง ช่องคลอด รูปัสสาวะ และทวารหนัก 2. Toxic Epidermal Necrolysis (TEN)
 
อาการ : เกิดตุ่มพุพองที่ผิวหนัง อาจดูคล้ายแผลพุพอง คล้ายแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือ แผลถูกสารเคมี หรือ ผื่นที่เยื่อบุตา อาจดูคล้ายอาการเยื่อบุตาอักเสบ หรือ ผื่นในปาก อาจดูคล้ายแผลร้อนใน (แผลแอฟทัส) แผลเริมที่เกิดในเยื่อบุปาก 3. Drug rash eosinophilia and systemic (DRESS)
 
อาการ : ผื่นแดงราบหรือนูน ตุ่มน้ำหรือตุ่มหนอง ผิวหนังบวมบริเวณใบหน้าหรือแขนขา มีไข้สูง ต่อมน้ำเหลือง โต การอักเสบของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ภาวะตับวาย และไตวาย 4. Maculopapular eruption (MPE)
 
อาการ : ผื่นแดงแบนราบ และผื่นนูนเล็กน้อยกระจายทั่วร่างกาย คันเล็กน้อย มีไข้ต่ำ ๆ ไอ น้ำเหลืองโต มีแผล ในปาก
 
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่มีผลการตรวจพบยีนที่มีความเสี่ยงต่อการแพ้ยา เมื่อรับประทานยาดังกล่าวอาจไม่มีการ แพ้ยาเกิดขึ้นได้เช่นกัน
 
 
 
เมื่อผลการตรวจยีนแพ้ยาเป็นลบ หมายความว่าอย่างไร
หากผลการตรวจระบุว่า ไม่พบยีนที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ยา ผู้ป่วยสามารถรับประทานยา Allopurinol, Carbamazepine, Abacavir และ Isoniazid ต่อไปได้ โดยที่ยังคงต้องติดตามอาการแพ้ยาอยู่เช่นเดิม หากมีอาการหรือสงสัยได้ว่าจะมีอาการแพ้ยาเกิดขึ้นหลังจากใช้ยาดังกล่าว ให้ผู้ป่วยหยุดยาและกลับมาพบ แพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการประเมินอาการแพ้ยาและการรักษาที่เหมาะสม

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด