1 มีนาคม 2567 ณ อาคารกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรม สบส. พร้อมด้วย ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. แถลงข่าว "สบส. ส่งเสริมการมี บุตร : ทางเลือกสำหรับผู้มีภาวะมีบุตรยากเพื่อเข้ารับบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์"
นายแพทย์สุระฯ อธิบดีกรม สบส. ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีอัตราการเจริญพันธุ์ หรือค่าเฉลี่ยการมีบุตรของ หญิงลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึง ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์อัตราเจริญพันธุ์รวมของ ประเทศลดลง จนส่งผลให้ประสบกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และการก้าวเช้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งภาครัฐก็ตระหนัก และให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีการตราพระราชบัญญัติคุ้มครองเต็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 เพื่อสนับสนุนให้คู่สามีและภริยาที่ชอบตัวยกฎหมายซึ่งมีบุดรยาก ได้มีบุตรตามที่คาดหวัง รวมทั้ง ส่งเสริมให้วิทยาการด้านการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ของไทยมีความก้าวหน้าจนปัจจุบัน
ประเทศไทยมีการให้บริการทำ กว่า 20,000 รอบ การผสมเทียมกว่า 12,000 รอบ มีการอนุญาตดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทน ที่เรียกว่า "อุ้มบุญ" จำนวน 754 ราย สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 7,500 ล้านบาท
สิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง คือ การเพิ่มขึ้นของอัตราความสำเร็จในการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ตั้งครรภ์ของประเทศไทย ซึ่งจากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการให้บริการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ โดยกรม สบส. พบว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยมีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ ร้อยละ 48.53 จากเดิมที่มีอัตราความสำเร็จร้อยละ 46 และยังคงจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากปัจจัยความสำเร็จ ทั้งจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย การมีกฎหมายเฉพาะในการควบคุมกำกับการใช้เทคโนโลยีฯ อย่างเคร่งครัด และการพัฒนาระบบประกันสุขภาพ สำหรับกรณีการตั้งครรภ์แทนของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยยกระดับการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ชองประเทศให้มีความก้าวหน้าไม่แพ้ชาติใดในโลก
3 นโยบายขับเคลื่อน
ด้านทันตแพทย์อาคมฯ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กรม สบส.ได้วางนโยบาย แผนการดำเนินงาน สำคัญมากมายในการขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพ และส่งเสริมให้ผู้มีบุตรยากสามารถเข้าถึงบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ของไทย อาทิ
1) การทบทวนและพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการแก่คู่สามีภริยา เช่น การปรับแก้ไขคุณสมบัติผู้รับบริจาคไข่ ให้ญาติสืบสายโลหิตของภริยา ที่มีอายุระหว่าง 20 - 40 ปี และไม่จำเป็นจะต้องผ่านการสมรส สามารถเป็นผู้บริจาคไข่ได้ การตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมในตัวอ่อนของภริยาที่มีอายุ 35 ปี สามารถตรวจวินิจฉัยได้ตามที่แพทย์หรือผู้ให้บริการเห็นว่ามีความจำเป็นและสมควร และให้ยกเลิกเพดานอายุของภริยาที่ประสงค์จะให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน จากเดิมไม่เกิน 55 ปี ให้มากกว่า 55 ปี ขึ้นไปได้
2) การส่งเสริมสิทธิประโยชน์ในการรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก โดยการส่งเสริมและผลักดันให้มีการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนที่เกี่ยวข้อง กรณีเข้ารับบริการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากจากสถานพยาบาลภาครัฐ โดยกำหนดจำนวนเงินและเงื่อนไขที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้รับบริการสามารถเบิกค่ารักษาได้
3) การพัฒนาระบบประกันสุขภาพ สำหรับกรณีการตั้งครรภ์แทน ดำเนินการยกร่างหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกรมธรรม์ในการทำประกันสุขภาพสำหรับกรณีการตั้งครรภ์แทน ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และเป็นจุดดึงดูดในการตัดสินใจเข้ารับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ของประเทศไทยจากคู่สามีภริยาทั้งไทยและต่างชาติ