ประเทศไทยจะมีจุดให้บริการฉีดวัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยวัคซีนที่ให้บริการจะเป็นวัคซีนที่รัฐบาลไทยจัดซื้อมาเท่านั้น และมีจุดบริการฉีดวัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะนำร่อง ตามมติ ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อ
12 มกราคม 2566
10 จุดให้บริการฉีดวัคซีนชาวต่างชาติ
แบ่งตามจังหวัด
กทม. 7 แห่ง
1.สถาบันโรคผิวหนัง
2. รพ.นพรัตนราชธานี
3. รพ.เลิดสิน
4. รพ.ราชวิถี
5. ศูนย์การแพทย์บางรัก
6. สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.)
7. สถาบันบำราศนราดูร
จ.เชียงใหม่ 1 แห่ง คือ รพ.ประสาทเชียงใหม่
จ.ชลบุรี 1 แห่ง คือ ศูนย์พัทยารักษ์
จ.ภูเก็ต 1 แห่ง ใช้หน่วยบริการที่ดำเนินการโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต
แนวทางการบริหารจัดการวัคซีนให้ที่จะบริการให้กับชาวต่างชาติ จะต้องคำนึงถึงปริมาณวัคซีนคงคลังที่จะไม่กระทบกับประชาชนไทยและให้จัดสรรวัคซีนให้แก่ประชาชนไทยเป็นลำดับแรก
ราคาค่าบริการ
จากการเปิดเผยของ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า ค่าบริการฉีดวัคซีนให้แก่ชาวต่างชาติ 2 ชนิด ดังนี้
- ค่าฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 1,180 บาท/เข็ม (ค่าวัคซีน 800 บาท ค่าบริการทางการแพทย์ 380 บาท)
- ค่าบริการวัคซีนไฟเซอร์ 1,380 บาท/เข็ม (ค่าวัคซีน 1,000 บาท ค่าบริการทางการแพทย์ 380 บาท)
อธิบดียืนยันความพร้อมบริการ
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมในการบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในระยะนำร่อง เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2566 โดยได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งกรมการแพทย์ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในเมืองท่องเที่ยว สำหรับกรมควบคุมโรค ได้เตรียมพื้นที่ใน กทม. ไว้ 2 จุด คือ 1.ศูนย์การแพทย์บางรัก โดยเปิดให้บริการทุกวัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และ 2.สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) เขตบางเขน นอกจากนี้ ยังให้เพิ่มจุดบริการในคลินิกเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว ในจังหวัดเชียงใหม่ ชลบุรี และสงขลา รวมทั้งยังมีหลายหน่วยงาน เช่น กรุงเทพมหานคร โรงเรียนแพทย์ ทยอยแจ้งความจำนงขอเป็นจุดบริการฉีดแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วย
"ยืนยันว่าเรามีวัคซีนเพียงพอ ไม่กระทบการบริการฉีดในคนไทย โดยรายได้จากค่าบริการให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานต้นสังกัดและกระทรวงการคลัง สำหรับการเปิดจุดบริการฉีดของภาคเอกชนนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ให้เริ่มดำเนินการ เนื่องจากต้องมีการวางแผนเรื่องแนวทางปฏิบัติและการกำกับติดตามที่แตกต่างจากโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งหากมีแนวทางชัดเจนแล้วจะนัดประชุมชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระยะถัดไป" นพ.ธเรศกล่าว (
24 มกราคม 2566)