นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมมุ่งเน้นการส่งเสริมและดูแลสุขภาพของผู้ประกันตน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาโดยร่วมมือกับสถานพยาบาลที่มีศักยภาพตามมาตรฐานที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด จำนวน 43 แห่ง ดำเนิน
“โครงการให้บริการทางการแพทย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงการรักษาของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม” นำร่องการรักษาผู้ประกันตนประเภทผู้ป่วยใน ด้วยการผ่าตัดหรือการทำหัตถการใน 5 โรค ได้แก่ ผ่าตัดมะเร็งเต้านม, ผ่าตัดก้อนเนื้อที่มดลูก, ผ่าตัดนิ่วในไตหรือถุงน้ำดี, หัตถการโรคหลอดเลือดสมอง, หัตถการโรคหัวใจและหลอดเลือด
โดยในกลุ่มให้บริการผ่าตัด 3 กลุ่มแรกข้างต้น (ผ่าตัดมะเร็งเต้านม, ผ่าตัดก้อนเนื้อที่มดลูก, ผ่าตัดนิ่วในไตหรือถุงน้ำดี) จะได้รับการผ่าตัดภายใน 15 วัน นับตั้งแต่แพทย์ประเมินว่ามีความจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด
ส่วนกลุ่มบริการที่มีอาการฉุกเฉิน จะได้รับการทำหัตถการภายใน 6 ชั่วโมง และ 60 นาที เมื่อมาถึงสถานพยาบาล ผู้ประกันตนสามารถ
ตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาล (35 แห่ง) ที่ทำบันทึกข้อตกลงให้บริการได้ที่นี่
ขั้นตอนการเข้ารับบริการ
ผู้ประกันตนสามารถไปตรวจที่สถานพยาบาลตามสิทธิหรือสถานพยาบาลอื่น และให้สถานพยาบาลตามสิทธิส่งตัว หรือ ผู้ประกันตนนำผลการตรวจและเอกสารที่แพทย์ประเมินว่า มีความจำเป็นต้องผ่าตัดหรือทำหัตถการ ส่งไปยังสถานพยาบาลที่ทำความตกลงให้การรักษากลุ่มโรคนั้น
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนไม่ต้องกังวลใจ สถานพยาบาลที่ทำความตกลงจะให้การดูแล จนสิ้นสุดการรักษา
กรณีมีการรักษาอื่นนอกเหนือจากการผ่าตัดหรือหัตถการที่กำหนด ผู้ประกันตนสามารถกลับไปรักษาสถานพยาบาลตามสิทธิ โดยสถานพยาบาลที่ทำความตกลงพร้อมดำเนินการประสานส่งตัวไปสถานพยาบาลตามสิทธิหรือสถานพยาบาลอื่นให้อีกด้วย
ระยะทดลอง 6 เดือน
โครงการฯ ดังกล่าวมีระยะดำเนินการวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2566 ซึ่งผลการดำเนินการ 3 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ประกันตนที่เจ็บป่วยเข้ารับบริการทำหัตถการจำนวน 1,724 ราย แบ่งเป็น
- หัตถการโรคหัวใจและหลอดเลือด 1,370 ราย
- ผ่าตัดนิ่วในไตหรือถุงน้ำดี 118 ราย
- การผ่าตัดมะเร็งเต้านม 23 ราย
- การผ่าตัดก้อนเนื้อที่มดลูก 207 ราย
- หัตถการโรคหลอดเลือดสมอง 6 ราย
จากผลการสำรวจ พบว่า ผู้ประกันตนพึงพอใจ และหมดกังวลเรื่องการเข้ารับการรักษาโรคที่สุ่มเสี่ยง ซึ่งสามารถเข้าถึงสถานพยาบาลที่มีศักยภาพ และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อีกทั้งลดระยะเวลาการรอคอยการผ่าตัด ลดภาวะแทรกซ้อนไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกันตนสามารถกลับไปทำงานอย่างรวดเร็ว และดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข
"สำนักงานประกันสังคม มีความยินดีให้การสนับสนุนดูแลสุขภาพดีให้กับผู้ประกันตน พร้อมมุ่งมั่น และทุ่มเทการทำงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ด้านการให้บริการทางการแพทย์ ลดความเหลื่อมล้ำ อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป" นายบุญสงค์ กล่าวในตอนท้าย