นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยในการลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการพัฒนางานบริการด้านทันตกรรม ที่จังหวัดอุดรธานีและจังหวัดหนองคาย ว่า ปัญหาสุขภาพช่องปากเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันประชาชนยังเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมได้น้อยเพราะต้องรอคิวนาน โดยปี 2565 มีค่าเฉลี่ยการเข้าถึงบริการทันตกรรมในภาพรวมของประเทศเพียงร้อยละ 9.5 จึงมีแนวคิดให้ขยายบริการและยกระดับเป็นสถานบริการเฉพาะทาง เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการมากขึ้นซึ่งเขตสุขภาพที่ 8 มีความพร้อมและมีแผนที่จะขับเคลื่อนการดำเนินงานเป็นโรงพยาบาลทันตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม
นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 8 กล่าวว่า การเข้าถึงบริการทันตกรรมในภาพรวมของเขตฯ อยู่ที่ร้อยละ 10.53 ซึ่งแม้จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ แต่ยังสามารถเพิ่มศักยภาพการบริการได้ โดยโรงพยาบาลในเขตฯ ทั้ง 7 จังหวัด ได้เพิ่มยูนิตให้บริการและขยายเวลาในการให้บริการนอกเวลาราชการ พร้อมทั้งเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลทันตกรรมที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการทันตกรรมเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 และช่วยลดระยะเวลารอคอยการอุดฟันจาก 2.3 เดือน เหลือ 15 วัน การใส่ฟันเทียม/รักษารากฟัน จาก 3-4.4 เดือนเหลือ 1 เดือน
โดยจังหวัดอุดรธานี อยู่ระหว่างนำร่องจัดตั้งโรงพยาบาลทันตกรรมชั่วคราว รองรับบริการผู้ป่วยนอก 5 ยูนิต ผู้ป่วยใน 2 เตียง ที่ รพ.ต.นาข่า อำเภอเมือง จะเปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2566 นี้ และสร้างโรงพยาบาลทันตกรรม ที่ตำบลสามพร้าว อำเภอเมือง ให้บริการด้านทันตกรรมที่ครอบคลุม พร้อมเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านบริการทันตกรรมในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ส่วนจังหวัดหนองคาย มีแผนจัดสร้างโรงพยาบาลทันตกรรม ขนาด 16 ยูนิต ในปี 2568
โรงพยาบาลทันตกรรม ณ รพ.สต.นาข่า
โรงพยาบาลทันตกรรม(ถาวร) ณ ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี