นอกจากนี้ มีโครงการ Screen All Treat All อยู่ภายใต้โครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ซึ่งจะเป็นการคัดกรองผู้ต้องขังทุกคนให้ตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี ขณะเดียวกันก็จะตรวจหาเชื้อซิฟิลิส และ HIV ร่วมด้วย
นพ.โอฬาร ระบุว่า เมื่อพบผู้ป่วยแล้วก็จะนำเข้าสู่การรักษาด้วยการรับประทานยาวันละ 1 เม็ดเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ และจะเจาะเลือดอีกครั้งภายหลักจากการรักษา 3 เดือน ซึ่งก็พบว่ามีโอกาสหายได้ราว 95% ของผู้ป่วยที่รับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากผู้ต้องขังที่พบไวรัสตับอักเสบซีเข้าข่ายตามหลักเกณฑ์บัญชียาหลักแห่งชาติ หรือจ (2) ก็จะได้รับยาจากบัญชีจ (2) ทุกสิทธิ ขณะเดียวกันผู้ต้องขังที่พบไวรัสแต่ยังไม่เข้าข่ายหรือเกณฑ์ เดิมทีกลุ่มนี้จะยังไม่ได้รับการรักษา แต่โชคดีที่โรงพยาบาลอุดรธานีได้รับการคัดเลือกจากกองโรคเอดส์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผ่านการเข้าร่วมโคงการ Test and Treat หากพบไวรัสแล้วก็จะสามารถเข้าสู่การรักษาได้ ฉะนั้นผู้ต้องขังที่รอการรักษาก็จะได้รับยาตัวนี้เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถรักษาผู้ต้องขังที่เป็นผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีได้ทุกคน
“ระหว่างการรักษาก็จะมีการติดตามผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องผ่านระบบ Telemedicine เมื่อผู้ต้องขังที่เป็นผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่ารักษาหายแล้ว ระหว่างนี้ก็ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อซ้ำ เพราะไวรัสตับอักเสบสามารถติดเชื้อซ้ำได้แม้จะรักษาหายแล้ว” นพ.โอฬาร ระบุ
ด้าน ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบซี เป็นสิทธิประโยชน์ภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) อยู่แล้ว ซึ่งผู้ต้องขังถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ขณะเดียวกันการที่จะตรวจภายใต้กติกาจะต้องมีอายุรแพทย์โรคตับ ซึ่งตรงนี้ก็ได้รับความกรุณาจาก นพ.โอฬาร วิวัฒนาช่าง นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลอุดรธานีเข้ามาตรวจให้ในเรือนจำ คัดกรองผู้ต้องขัง 100% ของจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำทั้งหมด
ขณะเดียวกัน หากผู้ต้องขังรายใดพบผลบวกก็จะถูกนำเข้าสู่การตรวจระดับไวรัส ซึ่งจ.อุดรธานีเป็น 1 ใน 4 จังหวัดนำร่องที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดกำจัดไวรัสตับอักเสบ ซึ่งจะมีการดูแลผู้ป่วย 1 รายจนจบกระบวนการรักษา และติดตามอาการต่อเนื่อง
ทพ.อรรถพร กล่าวต่อไปว่า กลุ่มผู้ต้องขังถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่กำหนดไว้อยู่ในเงื่อนไข แต่ด้วยความอ่อนไหวก็อาจจะเรียกว่าเป็นคนกลุ่มเปราะบาง เพราะเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย โอกาสที่จะเข้าถึงการรักษาพยาบาลนอกจากเรือนจำยังยาก ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าศักยภาพในเรือนจำก็อาจจะมีจำกัด
อย่างไรก็ดี ผู้บัญชาการเรือนจำกลางอุดรธานี ร่วมกับโรงพยาบาลอุดรธานี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด วางระบบการปรึกษาผ่านระบบ Teleconference หรือ Telehealth มีแพทย์หลายด้านพร้อม ให้คำปรึกษาเมื่อต้องการคำปรึกษา หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องเอกซเรย์ปอดที่สามารถส่งส่งผลขึ้นระบบคลาวด์เพื่อใช้วินิจฉัยได้อีกด้วย ฉะนั้นเมื่อใช้เทคโนโลยีร่วมกับระบบบริหารที่ดีก็สามารถบริหารทรัพยากรแพทย์จากโรงพยาบาล และใช้อุปกรณ์จากเรือนจำจะทำให้คนกลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลเสมอภาคกับคนข้างนอกได้
“เนื่องจากโรงพยาบาลอุดรธานีเป็นแม่ข่าย รวมไปถึงใช้ระบบการบันทึกข้อมูลของโรงพยาบาล พยาบาลที่อยู่ในเรือนจำก็จะลงทะเบียนเข้าใช้ระบบยืนยันตัวตน ซึ่งจะเหมือนกับการทำงานที่โรงพยาบาล และยังสามารถเชื่อมข้อมูลการรักษาได้ไม่ว่ารักษาที่ไหนก็ตาม” ทพ.อรรถพร ระบุ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ทั้งไลน์ สปสช. ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand