6 มิ.ย.66 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานคร และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ว่า วันนี้ทางกรุงเทพมหานครให้การต้อนรับคุณพิธา และว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล จำนวน 32 ท่าน นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี จริงๆ แล้วการขับเคลื่อนหลายๆ อย่างไปข้างหน้า ต้องใช้ความร่วมมือกันเป็นสิ่งสำคัญ การได้มาพบปะหารือกันทำให้มีความเข้าใจร่วมกัน จากนั้นจะสามารถเดินร่วมกันได้ไม่ว่าจะในบทบาทอะไรก็ตาม
ขอบคุณทางคุณพิธาที่ให้ความคิดเห็นดีๆ หลายๆ อย่าง และจากการลงพื้นที่ของทีมงานว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานครก็จะมี feedback จากประชาชนหลายด้าน การเห็นถึงปัญหา การทำให้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในหน่วยงานเข้มแข็ง จะทำให้เราสามารถหาคำตอบที่ดีสำหรับเมืองได้ เชื่อว่าวันนี้ก็เป็นก้าวแรกของการเดินทางไกล เพื่อให้ถึงจุดหมายเดียวกันของกทม.และพรรคก้าวไกล ซึ่งก็คือการทำประโยชน์ให้กับประชาชนสูงสุด
ตั้งคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านระหว่างกรุงเทพมหานครกับพรรคก้าวไกล สร้างการทำงานแบบไร้รอยต่อ
นายพิธา กล่าวว่า การจะก้าวให้ไกลต้องก้าวด้วยกัน เป็นสิ่งหนึ่งที่ทางพรรคก้าวไกลคิดมาโดยตลอดในการทำงานอย่างไร้รอยต่อ ปัญหาหลายๆ เรื่องในกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเก่าที่มีมานาน หรือปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หากสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างไร้รอยต่อ ตั้งแต่ระดับรัฐบาล ระดับนายกรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สภากรุงเทพมหานคร ทั้งข้อจำกัดเกี่ยวกับงบประมาณ กฎหมาย หรือแม้แต่การประสานงานกัน ก็สามารถที่จะทำให้กรุงเทพมหานครทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น
วันนี้ได้มารับข้อเสนอจากผู้ว่าฯ ทั้งหมด 21 ข้อ ซึ่งท่านทำคนเดียวไม่ได้ ท่านต้องประสานงานกับเรา เพื่อที่จะให้เราไม่ว่าจะเป็นส.ส. 32 คน ที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็ดี หรือว่าที่อยู่ในจังหวัดอื่นๆ ก็ดี ในการผ่านกฎหมายให้ท่านผู้ว่าฯ ทำงานได้
ยกตัวอย่างเช่น
การแก้ไขปัญหา PM2.5 ในกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่ก็จะมาจากการเดินทางของรถยนต์ ถ้าเป็นรถขนาดต่ำกว่า 4 ล้อ กรุงเทพมหานครมีอำนาจในการตรวจ แต่หากขนาดมากกว่า 4 ล้อ จะเป็นอำนาจของหน่วยงานอื่น
เพราะฉะนั้นตรงนี้จะเป็นการทำงานแบบไร้รอยต่อ หรือที่เรียกว่า Seamless Bangkok ซึ่งจะแก้ไขปัญหาได้
ประเด็นที่ 2 ซึ่งเสนอผู้ว่าฯกทม.ไป คือ กฎหมาย 45 ฉบับ ที่พรรคก้าวไกลต้องการจะนำเสนอ และเป็นกฎหมายที่มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ที่กรุงเทพมหานคร นั่นคือการเสนอพระราชบัญญัติกรุงเทพมหานครในการเลือกตั้งผู้อำนวยการเขต
ประเด็นที่ 3 คือการตั้งคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านในการทำงานระหว่างกรุงเทพมหานครกับพรรคก้าวไกล โดยพรรคก้าวไกลได้นำเสนอคุณพิจารณ์ รองหัวหน้าพรรคเป็นประธานทางฝั่งของพรรคก้าวไกล และคณะกรรมการซึ่งมาจากฝั่งของพรรคก้าวไกล ในส่วนของกรุงเทพมหานครท่านผู้ว่าฯ มอบให้ท่านประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (นายต่อศักดิ์ โชติมงคล) เป็นประธานฝั่งกทม. รวมถึงคณะกรรมการท่านอื่นในฝั่งของกทม. เพื่อให้เป็นการทำงานแบบไร้รอยต่ออย่างเป็นรูปธรรม
การประชุมวันนี้ไม่ใช่เป็นแค่การประชุมเสร็จแล้วก็เลิกกันไป แต่จะกำหนดประเด็นพิจารณาและจะมีการประชุมครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 เพื่อประโยชน์และการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพของพี่น้องชาวกรุงเทพมหานครทุกคน
นายพิธา กล่าวต่อไปว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอของกรุงเทพมหานครทั้ง 21 ข้อ จริงๆแล้ว ก็ตรงกับนโยบาย 300 นโยบาย และกฎหมาย 45 ข้อ ที่ได้เตรียมเอาไว้ ซึ่งต่อไปคงเป็นเรื่องของการเรียงลำดับความสำคัญในการที่จะปฏิบัติ ตอนนี้ได้ให้ประธานทั้ง 2 ฝั่ง ไปกำหนดหารือเป็นเรื่องๆ ไป รวมถึงจะเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีความรู้ในแต่ละเรื่องเข้ามาร่วมพูดคุย และแลกเปลี่ยนวิธีการทำงานกัน ทั้งนี้ จากการหารือกับผู้ว่าฯ เรื่องที่ 1 คือ การบริหารน้ำท่วม และการป้องกันน้ำทะเลหนุน เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องของคมนาคม ปัญหารถติด การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ไข การให้ระบบ Feeder เพื่อให้การเดินทางไร้รอยต่อ ลดการใช้พาหนะส่วนบุคคล เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องเกี่ยวกับฝุ่นPM 2.5 ซึ่งการทำงานเป็นเชิงมหภาค บางเรื่องเป็นระดับภูมิภาค และบางเรื่องเป็นเรื่องระหว่างประเทศ ทั้ง 3 เรื่องนี้ ทำให้ต้องมีกฎหมายควบคุม อาทิ พ.ร.บ.อากาศสะอาด รวมถึงการทำงานของกระทรวงต่างประเทศ การทำงานของกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงเรื่องของการประสานงานกันภายในพื้นที่ระหว่างกระทรวงคมนาคมกับกรุงเทพมหานคร
นายพิธา กล่าวอีกว่า มีความตั้งใจที่จะเอาเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหาการเดินทางที่ยังคงมีรอยต่อ ทั้งการใช้ตั๋วโดยสารร่วมใบเดียวที่มีราคาย่อมเยา การมีรถเมล์ไฟฟ้า ที่ส.ก.พรรคก้าวไกลได้เสนอเป็นข้อบัญญัติ ซึ่งหากทำได้ จะได้ประโยชน์ทั้งการจราจรและลดการใช้พลังงานที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ในส่วนของการทำ Sandbox เรื่องนี้ในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นพื้นที่สำคัญมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำในจังหวัดปริมณฑล นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสงคราม สมุทรปราการ เพื่อเป็นแนวร่วมด้วย
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวเสริมว่า เทคโนโลยีตั๋วโดยสารร่วมในปัจจุบันทำได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้ราคาทั้งหมดถูกที่สุดสำหรับประชาชน นี่คือโจทย์ที่ท้าทายมากกว่า ซึ่งกทม.ทำเองไม่ได้ เพราะโครงสร้างราคารวมหมายถึงรถเมล์ และเรือด้วย
ข่าวและภาพจาก กรุงเทพมหานคร