สำหรับประเทศไทย การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แบ่งได้เป็น 4 ช่วง
คลื่นระลอกแรกของการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์สนามมวยและสถานบันเทิง เป็นสายพันธุ์ “A.6” ระบาดระหว่าง ม.ค. 2563-ก.ค. 2563 กลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสดั้งเดิม "อู่ฮั่น" จำนวน +10 ตำแหน่ง
คลื่นระลอกสอง เป็นคลัสเตอร์โรงงานสมุทรสาครและตลาดปทุมธานี เป็นสายพันธุ์ “B.1.36.16” ระบาดระหว่าง ต.ค. 2563-พ.ค. 2564 กลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสดั้งเดิม "อู่ฮั่น" จำนวน +20 ตำแหน่ง
วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 WHO ประกาศเรียกชื่อไวรัสกลายพันธุ์ สายพันธุ์ต่างๆตามอักษรกรีก เพื่อเรียกชื่อง่ายและไม่สับสน
คลื่นระลอกสาม เป็นคลัสเตอร์สถานบันเทิงย่านทองหล่อ เป็นสายพันธุ์อัลฟา “B.1.1.7” ระบาดระหว่าง ม.ค. 2564-ก.ค. 2564 กลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสดั้งเดิม "อู่ฮั่น" จำนวน +50 ตำแหน่ง
คลื่นระลอกสี่ เป็นคลัสเตอร์แคมป์ก่อสร้าง เป็นสายพันธุ์เดลตา “B.1.617.2” ระบาดระหว่าง เม.ย. 2564-ปัจจุบัน กลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสดั้งเดิม "อู่ฮั่น" จำนวน +60 ตำแหน่ง
ซึ่งขณะนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคลื่นลูกที่สี่ "เดลตา" ในไทยกำลังอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์พื้นที่บางแห่ง การเพิ่มระยะห่างในการเข้าสังคม (social distancing) ประชาชนช่วยภาครัฐตรวจสอบ ติดตามการติดเชื้อด้วยตนเองจากการใช้ ATK การมีผู้ติดเชื้อไวรัสตามธรรมชาติบวกผู้ที่ได้รับวัคซีนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยแทบจะไม่มีกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีน ทำให้มีอัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง
จากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของ SARS- CoV-2 ในไทยพบว่า “สายพันธุ์เดลตาหลัก” ได้ถูกแทนที่ด้วย สายพันธุ์เดลตาย่อยเป็นที่เรียบร้อย
เดลตาสายพันธุ์หลัก B.1.617.2 เหลือประมาณ 4%
เดลตาสายพันธุ์ย่อย AY.XX เพิ่มขึ้นถึง 90% ได้แก่
AY.85 ประมาณ 64%
AY.30 ประมาณ 16%
AY.79 ประมาณ 3%
AY.59 ประมาณ 2%
B.1.1.7 ประมาณ 1%
AY.101 ประมาณ 1%
AY.60 ประมาณ 1%
AY.122 ประมาณ 1%
AY.43 ประมาณ 1%
สายพันธุ์ย่อยอื่นๆ 6%
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี ได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อศึกษาธรรมชาติของการกลายพันธุ์ของเชื้อโคโรนา 2019 ในประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ “B.1.36.16” จากการระบาดระลอกที่ 2 ส่วนใหญ่มีอาการน้อยหรือไม่แสดงอาการเลย ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นแรงต่างชาติที่ทำงานในโรงงานในสมุทรสาคร และบริเวณตลาดในจังหวัดปทุมธานี โดยผู้ติดเชื้อรายแรกจากปทุมธานี (ซึ่งเดินทางไปมาระหว่างสมุทรสาครและปทุมธานี) มีอาการเพียงจมูกเสียการรับกลิ่นไปเท่านั้น ในขณะที่แรงงานต่างชาติที่ทำงานในโรงงานในสมุทรสาคร เมื่อพบผู้ติดเชื้อจะได้รับการแยกตัวไปพักที่ รพ. สนาม โดยส่วนใหญ่พบว่าไม่จำเป็นต้องเข้ารักษาตัวใน รพ. เลย เท่ากับว่าได้รับวัคซีนเชื่อธรรมชาติ "เชื้อเป็น" ที่เข้าไปกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยไม่เจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต และอาสาสมัครจากสองพื้นที่สุ่มตรวจ RT-PCR ยังไม่พบใครที่ติดเชื้อครั้งแรกหรือติดเชื้อซ้ำเลย
หากไม่มีสายพันธุ์ “แอลฟา” เข้ามาแทนที่ “B.1.36.16” ในการระบาด ระลอกที่ 3 จำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศไทยจนถึงปัจจุบันน่าจะต่ำกว่า 2 หมื่นราย และผู้ป่วยน่าจะน้อยกว่า 2 ล้านกว่าคน