4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 และการพยากรณ์โรคในปี 2565
โอกาสกลายเป็นโรคประจำถิ่น
นพ.โอภาสกล่าวว่า ขณะนี้โรคโควิด 19 มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นไปตามการคาดการณ์และสามารถควบคุมได้ ส่วนที่ผู้ติดเชื้อใกล้ 1 หมื่นรายขอว่าอย่ากังวลกับตัวเลขจนเกินไป ซึ่งการพิจารณาสถานการณ์สิ่งสำคัญคือ จำนวนผู้ติดเชื้ออาการหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต ซึ่งปัจจุบันลดลงมากจากช่วงที่ระบาดใหญ่ ขณะนี้ค่อนข้างคงตัว และระบบสาธารณสุขรองรับได้
ในต่างประเทศขณะนี้ ก็พิจารณาสถานการณ์ในแนวทางนี้เช่นกัน
มีการประเมินไว้ว่า อนาคต โรคโควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นไป และจำเป็นที่ประชาชนจะต้องอยู่ร่วมกับโรคให้ได้ ส่วนการพิจารณาจากรายงานผู้ป่วยที่มีอาการในโรงพยาบาล ก็จะดำเนินการไปเหมือนโรคอื่นๆ ทั่วไป
คลัสเตอร์การติดเชื้อในไทย
นพ.โอภาสกล่าวว่า การติดเชื้อระยะนี้ส่วนใหญ่เป็นคลัสเตอร์เล็กๆ กระจายทั่วทุกจังหวัด เกิดจากงานเลี้ยงสังสรรค์ งานบุญ งานแต่งงาน งานศพ งานบวช ทำให้กลับไปติดที่บ้าน ซึ่งโอมิครอนเบื้องต้นมีอัตราติดเชื้อในครอบครัว 40-50% จากเดิมสายพันธุ์เดลตาที่มีอัตราการติดเชื้อในครอบครัว 10-20% จะเห็นว่าติดเชื้อค่อนข้างง่าย ไม่รุนแรงไปกว่าเดลตา ส่วนใหญ่อาการน้อย โดยเฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งขณะนี้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นไปได้แล้ว 15 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เชื่อว่าจะทำให้ระบบสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตได้ ขอให้กลุ่มเสี่ยงอายุ 60 ปีขึ้นไป 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นตามกำหนด อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นใกล้ระดับหลักหมื่นรายต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ให้เพิ่มมากไปกว่านี้
รายงานผู้ป่วย
ด้าน นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยรายงานหายป่วย 7,827 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 9,909 ราย แม้จะสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในความคาดหมายและควบคุมได้ พบผู้เสียชีวิต 22 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ 516 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 105 ราย ถือว่าค่อนข้างคงตัว ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จากการเก็บข้อมูลผู้ติดเชื้อ 9,267 ราย พบว่าเป็นไทย 96% ช่วงอายุที่ป่วยสูงสุดคือ 20-29 ปี ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี พบ 10.3% ปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อยังเป็นการไปร่วมงานปาร์ตี้ สังสรรค์ รับประทานอาหารร่วมกันซึ่งต้องเ0ปิดหน้ากากอนามัย โดยพบว่าเป้นการติดจากการไปสถานที่เสี่ยงที่เป็นคลัสเตอร์ 48% เป็นกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง 47%
"เราสามารถรักษาสถานการณ์การระบาดให้อยู่ในระดับเส้นสีเขียวหรือการคาดการณ์ที่ดีที่สุดได้ แม้ช่วงนี้จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นก็ยังอยู่ในเส้นที่คาดกาณ์ไว้และยังมีมาตรการรองรับ แต่ยังต้องขอความร่วมมือช่วยกันรักษามาตรการ VUCA คือ ฉีดวัคซีน ป้องกันตนเองตลอดเวลา COVID Free Setting และตรวจ ATK" นพ.เฉวตสรร กล่าว