สารปนเปื้อนในอาหาร คือ สารเคมีที่ปนเปื้อนมากับอาหาร ที่เกิดจากกระบวนการผลิต กรรมวิธีการผลิต โรงงานหรือสถานประกอบการผลิตอาหารที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ถูกสุขลักษณะ รวมถึง วัสดุอุปกรณ์การผลิต บุคคลากร การดูแลรักษา การบรรจุ ตลอดจนการขนส่งและการเก็บรักษา หรือ อีกกรณีคือการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม
กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีบทบาทดูแล เกี่ยวกับสารปนเปื้อนในอาหารโดยตรง ได้จัดตั้งสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร เพื่อตรวจและทดสอบอาหารประเภทต่าง ๆ เพื่อหาสารปนเปื้อนที่อาจจะมีในอาหารและส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน ที่ทำหน้าที่พัฒนาและให้การรับรองคุณภาพ มาตรฐานของห้องปฏิบัติการด้านชันสูตรสาธารณสุขในโรงพยาบาลต่างๆ ห้องปฏิบัติการตรวจสุขภาพคนที่จะเดินทางไปต่างประเทศ และห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์สุขภาพ รวมทั้งการรับรองระบบตรวจสอบ สารพิษในผักสด ผลไม้สด เพื่อให้ทุกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีความ ปลอดภัยต่อสุขภาพและมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังตรวจ วิเคราะห์ด้านอาหาร ยา สารเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท สารระเหย เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ รังสี ชีววัตถุ และวัตถุอันตรายทางสาธารณสุข อีกด้วย
สารปนเปื้อนที่มีการเก็บตัวอย่างนำมาทดสอบอยู่เสมอ ได้แก่
ฟอร์มาลิน (Formalin) LINK
ฟอร์มาลิน (Formalin) หรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) มีสูตรเคมีว่า CH2O คนทั่วไปรู้จักกันว่าเป็นสารที่ใช้สำหรับดองศพเพื่อไม่ให้ศพเน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดห้องคนป่วย ลักษณะทั่วไปของฟอร์มาลินเป็นสารละลายใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว เป็นสารรีดิวซ์รุนแรง เมื่อสัมผัสกับอากาศจะถูกออกซิไดส์ช้า ๆ ไปเป็นกรดฟอร์มิกซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อน มีค่า pH ประมาณ 2.8-4.0 รวมตัวได้กับน้ำและแอลกอฮอล์ ชื่ออื่น ๆ ของฟอร์มาลิน คือ Methanal; Formic aldehyde; Methaldehyde
ฟอร์มาลินเป็นสารที่นิยมใช้กันในหลายด้าน ในด้านการแพทย์ ใช้ในการเก็บรักษาตัวอย่างทางกายวิภาค (anatomical specimens) เพื่อคงสภาพของเนื้อเยื่อไม่ให้เน่าเสีย ใช้ฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องฟอกเลือด (เครื่องล้างไต) เครื่องมือเครื่องใช้ในการเตรียมและสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน ไอระเหยของฟอร์มาดีไฮด์สามารถนำมาอบห้องฆ่าเชื้อโรคตามโรงพยาบาล ในการทำเครื่องสำอางจะใช้สารฟอร์มาลินในยาสีฟัน ยาบ้วนปาก สบู่ ครีมโกนหนวดเพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยใช้เป็นส่วนประกอบในความเข้มข้นที่ต่ำมาก ใช้ในน้ำยาดับกลิ่นตัว ใช้เป็นส่วนประกอบของแชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น ในด้านอุตสาหกรรม ฟอร์มาลินมีสมบัติทำให้ผ้าและกระดาษแข็งเกาะกัน จึงนำมาใช้ในการทำบอร์ดหรือไม้อัด อุตสาหกรรมสิ่งทอใช้ผลิตสารที่ใช้เปลี่ยนแปลงลักษณะน้ำหนักและความแข็งแรงของไหมสังเคราะห์ รักษาผ้าไม่ให้ยับหรือย่น ในอุตสาหกรรมกระดาษ ใช้เพื่อให้กระดาษลื่นและกันน้ำได้ เป็นต้น ส่วนในด้านการเกษตรใช้สารฟอร์มาลินทำลายและป้องกันจุลินทรีย์ที่ทำให้ต้นไม้เป็นโรค ใช้เก็บรักษาและป้องกันผลิตผลเกษตรจากการเสียหายระหว่างการขนส่ง ใช้ฆ่าเชื้อราในดิน ใช้เป็นส่วนผสมของสารละลายที่ใช้เคลือบผัก ผลไม้จำพวกส้มระหว่างการเก็บเกี่ยวเพื่อชะลอการเน่าเสีย เป็นต้น พ่อค้า แม่ค้า นิยมนำฟอร์มาลินมาแช่ผัก เนื้อสัตว์ และอาหารทะเลสด เพื่อทำให้อาหารต่างๆ สดอยู่ได้นานไม่เน่าเสียเร็ว แต่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค
ในกรณีที่ร่างกายได้รับฟอร์มาลินในปริมาณต่ำ ร่างกายสามารถกำจัดได้ แต่หากได้รับในปริมาณที่สูงขึ้นถึง 30 – 60 มิลลิลิตรหรือมีความเข้มข้นมากขึ้น ฟอร์มาลินจะเปลี่ยนรูปเป็นกรดฟอร์มิค (Formic acid) ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายการทำลายของเซลล์ในร่างกาย ทำให้เซลล์ตาย ฟอร์มาลินมีพิษต่อระบบต่างๆ เกือบทั่วทั้งร่างกาย เช่น ในระบบทางเดินหายใจ หากได้รับไอระเหยของฟอร์มัลดีไฮด์ แม้จะปริมาณต่ำจะทำให้หลอดลมบวม แสบจมูก เจ็บคอ ไอ หายใจไม่ออก ปอดอักเสบ น้ำท่วมปอด ถ้าสูดดมเข้าไปมาก ๆ จะทำให้น้ำท่วมปอด จนหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกและตายในที่สุด อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นหลายชั่วโมงหลังจากได้รับสารโดยไม่มีอาการเจ็บปวด เลยก็ได้ หากได้รับปริมาณน้อยเป็นเวลานาน จะมีอาการไอและหายใจติดขัดเพราะหลอดลมอักเสบ เป็นต้น ในระบบทางเดินอาหาร เมื่อรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนฟอร์มาลินในปริมาณมากถึง 60 -90 มิลลิลิตร จะทำให้ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก ปากและคอแห้ง คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายท้อง ปวดท้องอย่างรุนแรง กระเพาะอาหารอักเสบ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หากได้รับสารนี้โดยการบริโภค จะเกิดอาการพิษโดยเฉียบพลัน ซึ่งอาการมีตั้งแต่ปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียน อุจจาระร่วง ปัสสาวะไม่ออก หมดสติ ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจเสียชีวิตเพราะระบบหมุนเวียนเลือดล้มเหลว นอกจากนี้เมื่อสัมผัสจะเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นคัน เป็นผื่นแดงเหมือนลมพิษ จนถึงผิวหนังไหม้เปลี่ยนเป็นสีขาวได้
ดังนั้นฟอร์มาลินหรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์ เป็นวัตถุห้ามใช้ในอาหารตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข แหล่งอาหารที่มักพบฟอร์มาลินปนเปื้อน ได้แก่ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ผักสดและผลไม้ ถ้าผู้บริโภคสงสัยว่าอาหารที่บริโภคนั้นมีฟอร์มาลินไม่ควรซื้อมารับประทาน เพราะฟอร์มาลินเป็นสารที่มีกลิ่นฉุนมากเมื่อนำไปใส่ในอาหารดังกล่าว ผู้บริโภคจะได้กลิ่นฉุนแน่นอน ดังนั้นก่อนการรับประทานหรือประกอบอาหารควร ล้างให้สะอาดเสียก่อนเพื่อความมั่นใจและรับประทานได้อย่างปลอดภัย
วิธีการตรวจสอบว่าอาหารมีฟอร์มาลินปนเปื้อนอยู่หรือไม่ อาจใช้วิธีสังเกตง่ายๆ ได้ดังนี้ ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ให้สังเกตว่า หากถูกแสงแดด หรือลมเป็นเวลานาน แล้วยังสดอยู่ก็ไม่ควรซื้อ ถ้าเป็นผัก ผลไม้ที่มีลักษณะแข็ง เขียว กรอบหรือสดผิดปกติ และถ้าเป็นปลา หรือกุ้งเนื้อแข็งแต่บางส่วน เปื่อยยุ่ย ไม่ควรซื้อมาประกอบอาหารเนื่องจากอาจจะได้รับอันตรายจากฟอร์มาลินที่ปน เปื้อนมาได้ ส่วนผักหรือผลไม้ ให้ดมที่ใบ หรือหักก้านดม หรือดมที่ผล ว่ามีกลิ่นแสบจมูกหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่ามีฟอร์มาลินปนเปื้อน
สำหรับการเลือกอาหารให้ปลอดภัยจากอันตรายของฟอร์มาลิน ควรเลือกซื้อดังนี้ ถ้าเป็นเนื้อที่ไม่แช่ฟอร์มาลิน หากถูกแสงแดด หรือลม เป็นเวลานานๆ เนื้อจะมีลักษณะแห้ง และไม่เต่งตึงอยู่เหมือนเดิม ควรเลือกซื้อผักอนามัย หรือผักกางมุ้ง เลือกผักที่ไม่มีลักษณะแข็ง หรือกรอบจนเกินไป การเลือกอาหารทะเลควรเลือกอาหารที่สด เนื้อไม่เปื่อยยุ่ย สีไม่ผิดปกติ และอาหารทะเลต้องวางจำหน่ายในน้ำแข็งตลอดเวลา ที่สำคัญต้องล้างอาหารให้สะอาดก่อนการปรุงเสมอ
หากสงสัยและต้องการตรวจสอบว่าในอาหารมีฟอร์มาลินปนเปื้อนอยู่หรือไม่ ก็ทำการตรวจสอบได้โดยใช้ชุดทดสอบฟอร์มาลินในอาหาร ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งภายในจะมีสารเคมีสำหรับตรวจสอบ 3 ชนิดและหลอดสำหรับใช้บรรจุของเหลวที่แช่อาหาร หรือผักผลไม้ที่จะตรวจสอบ
สารเคมีที่ใช้เป็นน้ำยาสำหรับตรวจสอบ อาจใช้ น้ำยาฟอร์มาลิน 1เป็นสารละลาย Phynylhydrazine hydrochloride (C6H9ClN2) น้ำยาฟอร์มาลิน 2 ใช้สารละลาย Potassium hexacyanoferrate (K4Fe(CN6)) และน้ำยาฟอร์มาลิน 3 เป็นสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น (HCl conc.) โดยทำการตรวจสอบตามคำแนะนำในชุดทดสอบ
สารฟอกขาว (โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) LINK
ถั่วงอกที่ขาวอวบ ผ้าขี้ริ้วที่ดูขาวกรอบน่ารับประทานมักจะถูกฟอกขาวด้วยสารฟอกขาว นอกจาก จะมีการใช้สารฟอกขาวในถั่วงอกแล้วยังมีการใช้ในอาหารประเภท ทุเรียนกวน หน่อไม้ ขิงซอย ขนมจีน น้ำตาลทรายหรือสินค้าอาหารอื่นๆที่มีสีขาวให้ดูน่ารับประทานและดูใหม่อยู่เสมอ สารฟอกขาวหรือสารฟอกสีที่ใช้ในอาหารนั้นมีหลายชนิด ที่นิยมใช้กันในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารก็คือสารเคมีในกลุ่มซัลไฟต์ได้แก่
1) สารประกอบซัลไฟต์ เช่น แคลเซียมซัลไฟต์ โซเดียมซัลไฟต์ โพแทสเซียมซัลไฟต์
2) สารประกอบไบซัลไฟต์ เช่น โพแทสเซียมไบซัลไฟต์ ซึ่งใช้ป้องกันการบูดเสียของอาหารได้ด้วยและ
3) สารประกอบเมตาไบซัลไฟต์ เช่น โซเดียมเมตาไบซัลไฟต์
สารฟอกสีเหล่านี้ เป็นสารเคมีที่อนุญาตให้ใช้เป็นวัตถุเจือปนในอาหารได้ แต่ต้องใช้ในปริมาณที่กำหนดตามชนิดของอาหาร ถ้าใช้เกินปริมาณที่กำหนดจะเกิดอันตรายได้ เช่น โซเดียมซัลไฟต์ถ้าใช้ในปริมาณที่เกินกำหนด จะมีสารกำมะถันตกค้างในอาหารในปริมาณสูงและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคถึงแก่ชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคหอบ หืด อ่อนเพลีย และผู้ที่ออกกำลังมาก
ส่วนสารฟอกขาวที่เป็นอันตราย กระทรวงสาธารณสุขไม่อนุญาตให้ใช้เจือปนในอาหาร คือ สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์(Sodium hydrosulfite) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ผงซักมุ้ง ชื่ออื่นๆ ได้แก่ Dithionous acid, disodium salt; Sodium dithionite hydrate; Sodium sulfoxylate; Reductone; Sulfoxylate; Virtex L; Hydrolin; D-Ox; Vatrolite; มีสูตรโมเลกุล : Na2O4S2 สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เป็นสารเคมีที่เป็น พิษ ลักษณะเป็นผงผลึกสีขาว มีกลิ่นฉุนกำมะถันอ่อนๆ ละลายได้ในน้ำ ไม่ละลายในแอลกอฮอล์ เป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการฟอกสี เช่น กระดาษ เส้นใยไหม แห อวน และเครื่องหนัง หากสัมผัสผิวหนังจะทำให้ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดง ถ้าบริโภคเข้าไปจะทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสอาหารเช่น ปาก ลำคอและกระเพาะอาหาร หากกินเข้าไปมากเกิน 30 กรัม จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง เวียนศีรษะ อาเจียน อุจจาระร่วง ความดันโลหิตลดต่ำลง แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หลอดลมหดตัว ทำให้หอบหืด ในผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่แล้วอาจช็อก หมดสติและเสียชีวิตได้
หากสงสัยว่า อาหารบางชนิด เช่น ถั่วงอก ผ้าขี้ริ้ว ตีนไก่ กระท้อนดอง ทุเรียนกวน ยอดมะพร้าวหรืออื่น ๆ มีสารฟอกขาว โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ ปนอยู่หรือไม่ สามารถใช้ชุดทดสอบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์(สารฟอกขาว)ในอาหาร ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อทดสอบ น้ำยาที่ใช้ทดสอบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ คือ สารละลายคอปเปอร์ซัลเฟต (CuSO4.5H2O) นั่นเอง ชุดทดสอบนี้สามารถตรวจสอบหาสารฟอกขาวที่เจือปนในอาหารทั้งที่เป็นของแข็งและของเหลว ซึ่งทำการทดสอบตามวิธีการง่าย ๆ ที่แนะนำไว้ในชุดทดสอบ
โคลิฟอร์มในน้ำและน้ำแข็ง LINK
โคลิฟอร์มแบคทีเรีย เป็นแบคทีเรียชี้แนะ(Bacteriological indicator) ซึ่งถ้าตรวจพบในน้ำ ก็แสดงว่าน้ำนั้นน่าจะไม่ปลอดภัย คืออาจมีเชื้อโรคอยู่ในน้ำหรือในน้ำแข็งนั้น
โคลิฟอร์ม
แบ่งตามแหล่งที่มา จะแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. ฟีคัลโคลิฟอร์ม (Fecal coliform) อาศัยอยู่ในลำไส้ของคนและสัตว์เลือดอุ่น ถูกขับถ่ายออกมากับอุจจาระ เมื่อเกิดการระบาดของโรคระบบทางเดินอาหาร จะพบแบคทีเรียชี้แนะชนิดนี้ เช่น อี.โค.ไล (E.coli)
2. นันฟีคัลโคลิฟอร์ม (Non-fecal coliform) อาศัยอยู่ในดินและพืช มีอันตรายน้อยกว่าพวกแรก ใช้เป็นแบคทีเรียชี้แนะถึงความไม่สะอาดของน้ำได้ เช่น เอ. แอโรจิเนส (A. aerogenes)
น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตซึ่งนอกเหนือจากมีการบริโภคน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติแล้ว เรายังบริโภคน้ำประปา น้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำแข็งด้วย น้ำจากแหล่งต่าง ๆ ที่กล่าวถึงอาจมีเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ซึ่งจะทราบได้จากการตรวจหาโคลิฟอร์ม น้ำและน้ำแข็งที่ตรวจพบโคลิฟอร์มอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคอาหารเป็นพิษซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีอาการท้องร่วง ท้องเสีย อาเจียน เป็นไข้ ปวดศีรษะ หรืออาจเสียชีวิตได้
ในการตรวจสอบว่าในน้ำหรือน้ำแข็งมีโคลิฟอร์มแบคทีเรียหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ โดยใช้ชุดทดสอบโคลิฟอร์มในน้ำและน้ำแข็ง ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่เราตรวจสอบเองตามคำอธิบายได้ไม่ยาก
สารกันรา (กรดซาลิซิลิค)
สารกันราหรือ กรดซาลิซิลิค salicylic acid เป็นกรดอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ที่ใช้เป็นวัสดุในการทำเครื่องสำอาง และการผลิตยาบางชนิด สูตรเคมีคือ C6H4OH.COOH มีลักษณะเป็นผลึกสีขาวมีจุดหลอมเหลว 159 องศาเซลเซียส มีสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ดี แต่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ เป็นสารที่ห้ามใช้ในอาหาร แต่มีการนำสารชนิดนี้ใส่ในน้ำดองผักผลไม้เพื่อให้ดูใสเหมือนใหม่อยู่เสมอ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดห้ามนำมาใส่เจือปนในอาหาร ปัจจุบันยังตรวจพบกรดซาลิซิลิคในอาหารหลายชนิด เช่น แหนม หมูยอ ผักผลไม้ดองจำพวก มะม่วงดอง ผักกาดดอง มะกอกดอง มะดันดอง ขิงดอง ก๊งฉ่าย เกี๊ยมฉ่าย ไชโป้ และหน่อไม้อัดปี๊บถ้าผู้บริโภคได้รับสารกันราหรือกรดซาลิซิลิคจนมีความเข้มข้นในเลือดปริมาณ 25ถึง 35 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 มิลลิลิตร จะมีอาการอาเจียน หูอื้อ มีไข้และอาจถึงตายได้
ในเมื่อมีการนำสารกันราหรือกรดซาลิซิลิคมาเจือปนในอาหารจึงต้องมีการตรวจสอบเพื่อดูว่าอาหารบางชนิดที่มีจำหน่ายทั่วไปมีการลักลอบใช้สารกันราหรือไม่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้จัดทำชุดทดสอบกรดซาลิซิลิค(สารกันรา)ในอาหาร เพื่อให้นำไปใช้ทดสอบได้เอง
ในชุดทดสอบจะมีน้ำยาทดสอบสองชนิด หลอดหยดและภาชนะที่ใส่ตัวอย่างสำหรับการทดสอบให้ครบถ้วน น้ำยาทดสอบ 1 คือ สารละลายกรดซาลิซิลิค น้ำยาทดสอบ 2 คือ สารละลายเฟอร์ริคคลอไรด์ (FeCl3) วิธีการทดสอบสามารถทำได้ตามคำแนะนำซึ่งมีขั้นตอนต่าง ๆ หลายขั้น แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็จะทราบได้ว่า ผลไม้ดองหรือผักดองนั้นมีสารกันราหรือกรดซาลิซิลิคเจือปนอยู่หรือไม่
สารตกค้างพวกยาฆ่าแมลง LINK
การลดสารพิษตกค้างในพืชผักและผลไม้ ทำได้โดยการล้างโดยใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต
อาหารที่มักตรวจพบว่ามีสารพิษตกค้างพวกยาฆ่าแมลงได้แก่ ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆอาหารตากแห้งบางชนิด เช่น ปลาทูเค็ม ปลาแห้ง เนื้อแห้ง เป็นต้น เมื่อรับประทานเข้าไปสารพิษเหล่านี้จะสะสมในร่างกายนานเข้าก็จะเป็นปัญหาเรื้อรังเป็นอันตรายต่อระบบสมองและประสาท เช่น ความจำเสื่อม สมาธิสั้น ยาฆ่าแมลงที่ตกค้างในร่างกายเป็นพิษต่อตับ และ ไต รบกวนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกระทบต่อต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน)เป็นสารก่อมะเร็ง และสารก่อกลายพันธุ์และทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ด้วย สารพิษพวกยาฆ่าแมลงส่วนมากที่พบตกค้างในอาหาร เป็นสารพิษในกลุ่มฟอสเฟต และคาร์บาเมทซึ่งมีผลกระทบต่อระบบประสาท และถ้าได้รับพิษ 2 ชนิด รวมกันขึ้นไป จะยิ่งทำให้เกิดพิษสะสมเสริมกันสูงมากขึ้นนับ 1000 เท่า
การลดสารพิษตกค้างในพืชผักและผลไม้ ทำได้โดยการล้างให้สะอาดโดยวิธีล้างอาจทำได้โดยใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (ผงฟู) 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 กะละมัง (20 ลิตร) แช่ผักนาน 15 นาทีแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดจะช่วยลดปริมาณสารพิษในผักลงได้ 90 – 92% หรือใช้น้ำส้มสายชู (5%) ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 กะละมัง แช่นาน 30 -45 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ปริมาณสารพิษที่ลดลงด้วยวิธีนี้คือ 60 – 84% หรืออาจล้างผักโดยให้น้ำไหลผ่าน ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก นาน 2 นาที วิธีนี้ลดปริมาณสารพิษลงได้ 50 - 63% แต่ถ้าใช้การต้มหรือลวกผักด้วยน้ำร้อน ปริมาณสารพิษที่ลดลงคือ 48 – 50%
ถ้าเราต้องการตรวจสอบว่า ในผักหรือผลไม้มีสารพิษตกค้างพวกยาฆ่าแมลงปนเปื้อนอยู่หรือไม่ก็สามารถตรวจสอบได้โดยใช้ชุดทดสอบ เอ็ม เจ พี เค (MJPK) ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
สารบอแรกซ์ LINK
บอแรกซ์ (Borax) เป็นสารเคมีสังเคราะห์ มีสูตรทางเคมีว่า Na2B4O7 ลักษณะเป็นผงสีขาว ไม่มีกลิ่น มีชื่อที่เรียกกันทั่วไปหลายชื่อ เช่น ผงน้ำประสานทอง ผงกรอบ เพ่งแซ เป็นต้น ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับบอแรกซ์ไว้ สรุปได้ว่า โดยทั่วไปบอแรกซ์ใช้ในอุตสาหกรรมทำแก้ว ล้างหม้อขนาดใหญ่ ใช้ป้องกันวัชพืชในการเกษตร ใช้ป้องกันเชื้อราขึ้นตามต้นไม้ ใช้เป็นยาเบื่อแมลงสาบ และใช้เป็นตัวเชื่อมทองเส้นเข้าด้วยกัน แต่ปัญหาการใช้บอแรกซ์เกิดจากมีผู้นำมาใช้ผสมอาหาร เพื่อทำให้อาหารมีความเหนียวหรือกรุบกรอบทำให้อาหารชวนรับประทาน อาหารที่มักพบว่ามีบอแรกซ์ผสม เช่น ลูกชิ้น หมูยอ อาหารชุบแป้งทอด พวกกล้วยทอด มันทอด ผัก/ผลไม้ดอง เป็นต้น
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 151 (พ.ศ. 2536) กำหนดให้บอแรกซ์ เป็นวัตถุห้ามใช้ในอาหาร หากบริโภคเข้าไป จะเกิดอันตรายต่อร่างกาย การบริโภคขนาด 0.1-0.5 กรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมอาจทำให้เสียชีวิตได้ ถ้าผู้ใหญ่ได้รับสารบอแรกซ์ 15 กรัม หรือเด็กได้รับ 5 กรัม จะทำให้อาเจียนเป็นเลือดและอาจตายได้ บอแรกซ์เป็นพิษต่อไตและสมอง ทำให้ระบบทางเดินอาหารเกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะไตเป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทำให้เกิดกรวยไตอักเสบ เนื่องจากการสะสมของบอแรกซ์ และหากร่างกายได้รับสารบอแรกซ์ในปริมาณมาก จะทำให้เกิดกระเพาะอาหาร และลำไส้อักเสบ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อุจจาระร่วง ตับถูกทำลาย อาจชัก หมดสติ โดยเฉพาะในเด็กและคนชราอาจถึงตายได้
สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีวิธีการตรวจสอบว่าในอาหารมีสารบอแรกซ์ปนเปื้อนอยู่หรือไม่ โดยมีชุดทดสอบบอแรกซ์ในอาหารที่สามารถนำไปตรวจสอบเองได้
ในชุดทดสอบจะมีน้ำยาทดสอบบอแรกซ์ ซึ่งเป็น สารละลาย HCl เจือจาง และกระดาษขมิ้น ซึ่งมี สารเคอร์คูมิน (Cercumin) เป็นส่วนประกอบ การทดสอบทำได้ไม่ยากโดยการหั่นหรือบดอาหารที่จะตรวจใส่ในภาชนะ เติมน้ำยาทดสอบลงไปจนเปียกชุ่ม แล้วใช้กระดาษขมิ้นจุ่มลงไปครึ่งแผ่น ตากให้แห้ง ถ้ากระดาษขมิ้นเปลี่ยนสีจากสีเหลืองไปป็นสีแดง แสดงว่าอาหารนั้นมีสารบอแรกซ์ปนเปื้อนอยู่