ทำไมจึงเกิดการติดเชื้อ
ระบบทางเดินปัสสาวะมีการติดเชื้อได้หลายทางที่สำคัญที่สุด คือ เชื้อโรคจากภายนอกผ่านเข้าทางท่อปัสสาวะสู่กระเพาะปัสสาวะแล้วกระจายไปสู่ระบบทางเดินปัสสาวะส่วนอื่นๆ ต่อและปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มีการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่ายขึ้น คือ ตัวกระเพาะปัสสาวะเอง
ในภาวะปกติ กระเพาะปัสสาวะมีความสามารถพิเศษจะทำลายเชื้อโรคแปลกปลอมที่จะเข้าไปสู่กระเพาะปัสสาวะได้ การที่มีปัสสาวะคั่งค้างใน กระเพาะปัสสาวะมากๆ จนทำให้กระเพาะปัสสาวะบวมผิดปกติหรือการที่กระเพาะปัสสาวะมีความดันภายในสูงจนเกินไป จะทำให้การกำจัดเชื้อโรคของกระเพาะปัสสาวะลดลงทำให้มีการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และการคาสายยางไว้นานๆ ถึงแม้จะดูแลดีเพียงใดก็ยากที่จะกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปสู่ภายในได้ ประกอบกับการที่สายยางอุดตันในบางครั้งทำให้มีปัสสาวะคั่งค้างในกระเพาะปัสสาวะหรือมีบาดแผลในกระเพาะปัสสาวะ ก็ยิ่งทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้มาก จากการที่มีการอักเสบติดเชื้อนานๆ ร่วมกับกระเพาะปัสสาวะที่ทำงานบกพร่อง จะทำให้เชื้อโรคกระจายไปที่อื่นโดยเฉพาะไต เกิดภาวะไตอักเสบเรื้อรัง และไตวายในที่สุด
โรคที่ทำให้การขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติและต้องพึ่งการสวนปัสสาวะ
- โรคสมอง เช่น อุบัติเหตุต่อเนื้อสมอง เนื้องอกในสมอง เนื้อสมองฝ่อ สมองอักเสบฯลฯ
- โรคของไขสันหลัง เช่นอุบัติเหตุต่อไขสันหลัง เนื้องอก ไขสันหลังอักเสบ พยาธิเข้าไขสันหลัง ซิฟิลิส ฯลฯ
- โรคของเส้นประสาทส่วนปลายที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะ เช่น เบาหวาน ฯลฯ
- ปลายประสาทที่มาควบคุมกระเพาะปัสสาวะบางส่วนถูกทำลายจากการผ่าตัดบริเวณอุ้งเชิงกราน
- โรคของกล้ามเนื้อกระเพราะปัสสาวะหรือกระเพาะปัสสาวะยืดมากเกินไปจนไม่มีแรงขับปัสสาวะ
การหลีกเลี่ยงการคาสายยางทิ้งไว้นาน
การคาสายยางทิ้งไว้ในท่อปัสสาวะหรือคาสายยางไว้ในกระเพาะปัสสาวะโดยผ่านทางหน้าท้องนานๆ เหมือนดาบสองคม ประโยชน์นั้นแก้ปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะได้ส่วนหนึ่งแต่ปัญหาที่จะตามมา เช่น ต้องมาเปลี่ยนสายยางทุกๆ 1 เดือน หรือมาก่อนถ้าสวายยางตัน ในบางรายอาจจะมีอาการเจ็บมีนิ่วหรือมีเลือดออก และมีอาการอักเสบติดเชื้อเกิดขึ้นได้บ่อยๆในผู้ชาย อาจมีหนองออกจากท่อปัสสาวะ อัณฑะบวมหรือมีรูทะลุจากท่อปัสสาวะออกมาได้และยังก่อให้เกิดความรำคาญหรือความยุ่งยากในการที่จะต้องหิ้วสายและถุงเก็บปัสสาวะไปด้วยตลอด
ดังนั้นผลเสียมีมากทีเดียว ในปัจจุบันเรามักหลีกเลี่ยงการคาสายยางทิ้งไว้ในกระเพาะปัสสาวะนานๆ นอกจากไม่มีทางเลือกอื่น การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะแบบสะอาดเป็นครั้งคราว (CLEAN INTERMITTENT CATHETERIZATION) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษามากกว่าการคาสายยางทิ้งไว้นานๆ
การสวนปัสสาวะแบบสะอาดเป็นครั้งคราว แบ่งเป็น 2 แบบคือ
- การสวนปัสสาวะด้วยตนเอง
- ให้ผู้อื่นสวนปัสสาวะให้กรณีไม่สามารถทำเองได้
ประโยชน์ของการสวนปัสสาวะแบบสะอาดเป็นครั้งคราว
- ช่วยลดปัญหาการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะและการเสื่อมสภาพของไต
- ในบางกรณีอาจจะทำให้การทำงานของกระเพาะปัสสาวะ กลับเข้าสู่สภาพปกติได้เร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงปัญหาแทรกซ้อนของการคาสายยางทิ้งไว้ได้
- ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น สามารถเข้าสู่สังคมและไม่สร้างความรำคาญแก่ผู้อื่น
- เป็นตัวของตัวเองและเป็นภาระต่อผู้อื่นน้อยที่สุด
อุปสรรคของการสวนปัสสาวะแบบสะอาดเป็นครั้งคราว
- สำหรับผู้ที่สวนปัสสาวะด้วยตนเอง โดยเฉพาะผู้หญิงอาจจะมีความลำบากในตอนทำแรกๆ
- สำหรับผู้ที่ไม่สามารถทำด้วยตนเองได้ ต้องให้ผู้อื่นสวนให้ ถ้าเป็นเด็กพ่อแม่หรือญาติจะเป็นผู้ทำให้จนกระทั่งเด็กโตทำเองได้ แต่กรณีที่เป็นผู้ใหญ่จะทำให้ได้ยาก ควรจะต้องปรึกษาแพทย์
- ผู้ที่มีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง ทำให้ส่วนได้ลำบาก
อุปกรณ์การสวนปัสสาวะ
- สายยางสำหรับสวนปัสสาวะ
- น้ำยาฆ่าเชื้อโรคแซฟลอน (savlon – สีเหลือง) หรือ สบู่ (วิธัผสม น้ำยาฆ่าเชื้อโรค 5 ซีซี: น้ำต้มสุก500 ซีซี)
- น้ำต้มสุก 1 ขวด
- สำลีสะอาด
- เยลลี่สำหรับหล่อลื่นสายสวนปัสสาวะก่อนที่จะสวนปัสสาวะ
- ภาชนะ 2 ใบ (ใบเล็กใส่น้ำยาฆ่าเชื้อโรค ใบใหญ่ใส่น้ำปัสสาวะที่สวนออกมา)
- กระจกเงาสำหรับผู้ที่ยังไม่ชำนาญ (ก่อนจะสวนปัสสาวะให้ใช้กระจกเงาส่องดูท่อปัสสาวะเพื่อให้เห็นชัดเจน)
การเตรียมตัวและเตรียมอุปกรณ์ของใช้ในการสวนปัสสาวะครั้งต่อไป
- ล้างอุปกรณ์ทั้งหมดด้วยน้ำสบู่ ตามด้วยน้ำสะอาดเช็ดให้แห้ง
- นำสายสวนที่ล้างสะอาดแล้วมาแช่น้ำยาฆ่าเชื้อโรคในหลอดพลาสติก โดยเทน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในหลอดพลาสติกให้เต็มหลอด นำสายสวนปัสสาวะใส่ลงในหลอดพลาสติกให้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคไหลเข้าไปอยู่ภายในสายสวนปัสสาวะด้วย แล้วจึงเอาฝาจุกเปิดปลายสายสวนปัสสาวะและปิดหลอดท่อพลาสติกไว้
ทุกครั้งที่นำสายสวนแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ต้องเอาฝาจุกปิดปลายสายสวนปัสสาวะไว้ทุกครั้ง เพื่อความสะดวกในการนำสายสวนออกมาจากหลอดพลาสติกมาใช้ครั้งต่อไป
วิธีการสวนปัสสาวะ
- ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ 2ครั้ง (ควรตัดเล็บให้สั้นและไม่สวมเครื่องประดับ
- เตรียมอุปกรณ์การสวนให้พร้อมและสายสวนปัสสาวะที่นำออกมาจากการแช่น้ำยาแช่เชื้อโรคแล้ว ให้ล้างด้วยน้ำต้นสุกก่อนที่จะนำมาใช้สวนปัสสาวะ
- ท่าสวนปัสสาวะ สวนด้วยตนเองหรือผู้อื่นสวนให้
- ผู้หญิง : นั่งยองๆ แยกขาหรือนอนแยกขาออก 2 ข้าง หรือยืนโดยให้เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนเก้าอี้ เอากระจกส่องดูท่อปัสสาวะหรือใช้นิ้วมือคลำก็ได้
- ผู้ชาย : ยื่น นอนหรือนั่ง
- ทำความสะอาดบริเวณท่อปัสสาวะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคกรณีที่ต้องไปทำนอกบ้าน สามารถใช้สบู่ล้างได้
- จับสายสวนโดยห่างจากปลายด้ายสายสวนปัสสาวะประมาณ 1 นิ้ว ทาเยลลี่หล่อลื่นปลายสายสวนเพื่อลดความระคายเคืองแล้วจึงใส่สายสวนเข้าท่อปัสสาวะในผู้หญิงใส่สายสวนเข้าไผลึกประมาณ 3 นิ้ว ส่วนผู้ชายใส่ลึกจนสุดสายสวนปล่อยให้น้ำปัสสาวะไหลลงภาชนะรองรับหรือโถส้วม
- เมื่อน้ำปัสสาวะจากสายหยุดไหล ให้ใช้มือข้างหนึ่งจับสายสวนได้ ส่วนมืออีกข้างกดเหนือหัวเหน่า ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ของกระเพาะปัสสาวะ น้ำปัสสาวะก็จะไหลออกมาอีก และเมื่อน้ำปัสสาวะหยุดไหลให้ดึงสายสวนออกทีละนิดพร้อมกับกดเหนือหัวเหน่าทำซ้ำจนแน่ใจว่าน้ำปัสสาวะไหลออกหมดแล้วจึงดึงสายสวนออก
- ล้างด้วยน้ำสะอาดหรือใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดบริเวณดังกล่าวให้แห้งทุกครั้ง
ข้อควรจำ
- จำนวนการสวนในแต่ละวันควรให้แพทย์ เป็นผู้กำหนด
- ควรสวนเป็นประจำในเวลาเดียวกัน ไม่ต้องคำนึงถึงความสะอาดหรือสิ่งแวดล้อม หากสวนไม่ตรงเวลาปล่อยให้ปัสสาวะคั่งค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะนานๆอาจยิ่งทำให้มีการอักเสบติดเชื้อง่ายขึ้น
- การสวนแบบนี้ขอแค่ความสะอาดเท่านั้น ไม่ใช่ทำแบบปราศจากเชื้อ เหมือนในโรงพยาบาล จึงไม่ต้องนำมาเป็นอุปสรรคต่อความตั้งใจเป็นอันขาด
- อย่าเลิกการสวนเอง ต้องปรึกษาแพทย์และหากมีปัญหาที่เกิดขึ้นจากการสวนให้รีบมาพบแพทย์ทันที
- การสร้างทัศนคติที่ดีต่อการสวนปัสสาวะแบบสะอาดจะเป็นเหตุให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานที่ถูกต้องและสม่ำเสมอทำให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ