ปัจจัยการเกิดของสิว
1. การเพิ่มการแบ่งตัวของผิวชั้น Basal Keratinocytes ที่ผิดปกติ
2. การอุดตันของท่อ Pilosebaceous
3. การเพิ่มการสร้าง Sebum ที่เกี่ยวข้องกับ ฮอร์โมน Androgen
4. เกิดการย่อย Comedone โดยเชื้อ P. acne
5. การเกิดการอักเสบภายในรูขุมขนและต่อมไขมัน
ประเภทของสิว
1. สิวอุดตัน สิวที่ขึ้นใหม่ เม็ดเล็กสีขาว รีบรักษาให้หายในระยะนี้ไม่มีแผลเป็น
2. สิวอักเสบ เกิดจากสิวที่อุดตันและอักเสบจากภายในจากกรดไขมัน และเชื้อแบคทีเรีย มีลักษณะเป็นตุ่มแดง ตุ่มหนองหรือเกิดอาการบวมแดง ร้อน เจ็บ คล้ายฝี หรือเรียกว่าสิวหัวช้าง สิวชนิดนี้มักเกิดแผลเป็นตามมาภายหลัง และรักษายากกว่า
ข้อควรปฏิบัติในการรักษา สิว และข้อควรรู้
1. ไม่ควรรีบร้อนในการรักษา เพราะสิวที่เป็นมากและรุนแรงต้องใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะรอยแผลจากสิว อาจใช้เวลาถึง 6 เดือน
2. ไม่เช็ดหน้าแรงๆ หรือขัดถูหน้าแรงเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น
3. ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยสบู่อ่อนๆ หรือโฟม และเครื่องสำอางที่ใช้ ไม่ก่อให้เกิดสิว (Non Comedone)
4. ไม่ลูบคลำหน้าหรือจับหน้าบ่อยๆ หรือบริเวณที่เป็นสิวบ่อยๆ รวมถึงการไม่บีบ แกะสิว
5. การอดนอน ความเครียดต่างๆ ที่เกิดขึ้น มักทำให้สิวเห่อง่าย
6. ยาทา หรือยารับประทาน ควรใช้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ อย่าปรับยาเองหรือกินยาเอง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
7. เมื่อสิวหาย อย่าหยุดใช้ยาทันที ควรใช้อย่างต่อเนื่องตามแพทย์แนะนำ “อย่าปล่อยให้สิวเป็นมากเพราะอาจจะสายเกินแก้”
8. ฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้มากในช่วงอายุ 15- 30 ปี อาจใช้ฮอร์โมนช่วยในการรักษา (Homonal Therapy) จากฮอร์โมน Estrogen
“สิวอักเสบและรุนแรงอาจต้องใช้ยา ทั้งชนิดทา และรับประทานร่วมกัน”
ทางการแพทย์เชื่อว่า การรักษาสิวอักเสบและรุนแรงได้ผลดีที่สุด คือ ยารับประทานยากลุ่ม Retinoid อย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป
สอบถามเพิ่มเติม ศูนย์ผิวหนังและเลเซอร์ รพ.วิภาวดี โทร. 0-2561-1111 กด 1