อาการปวดประจำเดือน เป็นปัญหาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องพบเจอ และมีไม่น้อยเลยที่ปวดมากจนรบกวนกับชีวิตประจำวันและสูญเสียสมรรถภาพในการทำงาน จนทำให้ต้องลางาน หยุดงาน และนอนพัก บางคนถึงกับต้องนอนโรงพยาบาล เพื่อฉีดยาแก้ปวดกันเลยทีเดียว
อาการปวดประจำเดือนเป็นอย่างไร
มักมีอาการปวดท้องน้อยบริเวณหัวหน่าว อาจมีปวดร้าวในท้องน้อยซ้าย หรือ ขวา รวมถึงปวดไปสะโพกก้นกบ ปวดร้าวลงหน้าขา มักปวดในช่วงวันแรกของประจำเดือน ในบางรายมีอาการไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยตามตัว บั้นเอว ปวดศีรษะร่วมด้วยได้
อาการปวด มีตั้งแต่เล็กน้อย ถึงปวดมาก จนต้องนอนนิ่งๆ บางคนมีอาการปวดเกร็งมาก จนอยากเป็นลม หรือ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรงได้
อาการปวดประจำเดือนมีกี่ชนิด
อาการปวดประจำเดือนมี 2 ชนิด
- ชนิดธรรมดา หรือ ปฐมภูมิ จะมีอาการตั้งแต่ประจำเดือนครั้งแรก และเป็นอยู่ประมาณ 2-3 ปี หลังมีประจำเดือน ชนิดนี้ไม่มีอันตราย เกิดจากการยืดขยายของกล้ามเนื้อมดลูก และบีบรัดตัวเพื่อขับประจำเดือน
- ชนิดผิดปกติ หรือ ทุติยภูมิ จะมีอาการหลังจากเป็นประจำเดือนมานานหลายปีแล้ว จากที่ไม่เคยปวด จะเริ่มมีอาการและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนต้องรับประทานยามากขึ้น หรือ ต้องเปลี่ยนยา จากยากินเป็นยาฉีดทุกเดือนอาจพบร่วมกับประจำเดือนที่มีปริมาณต่อวันมากขึ้น นานขึ้น หรือ มีก้อนลิ่มเลือดปน เกิดจากพยาธิสภาพในมดลูก รังไข่ เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, เนื้องอกมดลูก, ช็อกโกแลตซีสต์, พังผืดในอุ้งเชิงกราน
การรักษา
1. ถ้าปวดไม่มาก ให้กินยาแก้ปวด ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบหน้าท้อง
2. หมั่นออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง
3. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
4 .ถ้ามีอาการปวดมาก ปวดผิดปกติ ควรพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุนั้น ซึ่งประกอบด้วย การใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อควบคุมปริมาณประจำเดือน ฮอร์โมนในร่างกาย การผ่าตัดส่องกล้องเพื่อเลาะพังผืด ลอกถุงน้ำรังไข่ ช็อกโกแลตซีสต์ ผ่าตัดเนื้องอกมดลูก หรือ ตัดมดลูก
ข้อแนะนำ
หากพบว่า เรามีอาการปวดประจำเดือนอย่าปล่อยทิ้งไว้ ควรสังเกตสุขภาพตัวเองว่ามีความผิดปกติ เช่น ปวดมาก หรือ มีอาการอื่นร่วมด้วยหรือไม่ และควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ทันทีที่พบความผิดปกติ
พญ.อัญชุลี สิทธิเวช
ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชรพ.วิภาวดี