ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

หัวใจล้มเหลว สาเหตุ อาการและแนวทางการรักษา

หัวใจล้มเหลว สาเหตุ อาการและแนวทางการรักษา

โรคหัวใจล้มเหลวคืออะไร
ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ  ของร่างกายได้เพียงพอ หรืออาจหมายถึงภาวะที่หัวใจไม่สามารถคลายตัวหรือขยายตัวเพื่อรองรับเลือดได้ปกติ ทำให้เกิดความดันเลือดในช่องปอดมากขึ้น เกิดการคลั่งของเลือดในปอดมากขึ้น ทำให้มีอาการเหนื่อยง่ายและอาจก่อให้เกิดอาการบวมของร่างกาย
 
 
สาเหตุของหัวใจล้มเหลว
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจรูมาติก หรือลิ้นหัวใจพิการ โรคหัวใจเป็นแต่กำเนิด โรคโลหิตจาง การดื่มเหล้ามาก ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคติดเชื้อไวรัส ได้รับยาเคมีบำบัด หรือได้รับการฉายแสง ได้รับสารพิษบางชนิด โรคการนอนหลับบางชนิด ภาวะที่เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้มีอาการของโรคหัวใจล้มเหลวมากขึ้น เช่น ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบอย่างเฉียบพลัน ความดันโลหิตสูง การติดเชื้อบางชนิด เช่น การติดเชื้อที่ทางเดินหายใจ ภาวะที่หัวใจเต้นเร็วหรือช้าเกินไป ภาวะได้รับน้ำมากเกินความต้องการ การขาดการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารเค็มเกินไป รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดบางชนิด ยากลุ่มสเตียร์รอยด์ เป็นต้น
 
 
อาการของโรคหัวใจล้มเหลว
 อาการมีดังนี้ อาการเหนื่อยง่าย เวลาออกกำลังกายแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก นอนราบไม่ได้เวลากลางคืนอาจต้องลุกขึ้นมาเพื่อช่วยหายใจ ไอ ใจสั่น บวม ถ้าเป็นนาน ๆ อาจอ่อนเพลียไม่มีแรง ผอมลงได้
 
 
การตรวจวินิจฉัย
ซักประวัติ ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรค การตรวจร่างกายโดยแพทย์และการตรวจพิเศษต่าง ๆ
 
การตรวจพิเศษ
  1. การตรวจเอกซเรย์ปอด ดูว่าเงาหัวใจโตหรือไม่ และดูว่าปริมาณของสารน้ำ หรือเลือดคลั่งในช่องปอดหรือไม่
  2. การตรวจด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อดูว่าลักษณะที่บ่งชี้ถึงหัวใจโต หรือสงสัยว่ามีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ มีหัวใจเต้นเร็วหรือช้าผิดจังหวะหรือไม่
  3. การตรวจด้วยเครื่องสะท้อนคลื่นเสียงหัวใจ (Echocard-iography) ดูการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจว่ามีการบีบตัว หรือคลายตัวปกติหรือไม่ มีโรคลิ้นหัวใจพิการ รวมทั้งดูว่าเยื่อหุ้มหัวใจผิดปกติหรือไม่
  4. การตรวจเลือด เพื่อดูระดับเกลือแร่บางชนิดในเลือด การทำงานของไต ไทรอยด์ หรือฮอร์โมนบางชนิด ปริมาณเม็ดเลือดแดง ระดับของ BNP หรือ NT pro BNP (Brain Natriuetic Peptides) ซึ่งพบว่ามีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นในภาวะหัวใจล้มเหลวสามารถวินิจฉัยและใช้ติดตามการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวได้
 

1. การรักษาทั่วไป

1) การควบคุมรักษา ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
 
2) การรักษาระยะยาว เพื่อให้ผู้ป่วยดูแลตนเองหลังกลับจาก รพ.
 
2.1 ควบคุมการดื่มน้ำ ไม่ควรเกิน 1.5 ลิตรต่อวัน
 
2.2 อาหารเค็ม จำกัดเกลือไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน(ประมาณครึ่งช้อนชา)
 
2.3 การนั่งน้ำหนักทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อดูว่ามีภาวะน้ำในร่างกายเกินหรือไม่ ถ้าหากน้ำหนักเกินมากกว่า 2 กิโลกรัม ภายใน 3 วัน อาจพิจารณาใช้ยาขับปัสสาวะเอง หรือมาพบแพทย์
 
2.4  การควบคุมน้ำหนัก ถ้าอ้วนเกินไปควรลดน้ำหนักตัวเองลงแต่ถ้าหากผอมเกินไปอาจหมายถึง การขาดสารอาหาร หรือภาวะหัวใจวายรุนแรงและเรื้อรังได้
 
2.5 การออกกำลังกาย โดยมีโปรแกรมการออกกำลังกายตามความเหมาะสมเป็นรายๆ ไป หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย เช่น การยกน้ำหนัก หรือการเล่นยกเวท
 
2.6 ระมัดระวังไม่ให้เป็นหวัดติดเชื้อง่าย
 
2.7 งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่
 
2.8 ควบคุมอาหารไขมัน หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
 
2.9 การมีเพศสัมพันธ์ ถ้าขึ้นบันได 1 ขั้นโดยไม่เหนื่อย ก็อาจมีเพศสัมพันธ์ได้ปกติ
 
2.10 พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
 
2.11 การเดินทาง ควรระมัดระวัง ไม่ควรไปในสถานที่สูง อากาศเบาบาง อากาศที่ร้อนขึ้นเกินไป การใช้ยามีหลายชนิด จึงไม่ได้นำมากล่าวในที่นี้ แต่สิ่งสำคัญต้องรับประทานยาสม่ำเสมอ
 
 
 

2. การรักษาโดยใช้เครื่องมือพิเศษ

2.1 การฝังเครื่องช็อคหัวใจ (Implantable Cardioverter-Defribrillators, ICD)
เป็นเครื่องที่ใช้ฝังเข้าไปที่ตัวผู้ป่วยเพื่อทำการรักษา หัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งมักจะพบได้ในภาวะหัวใจล้มเหลวที่เป็นรุนแรง โดยเครื่องจะวินิจฉัยลักษณะการเต้นของหัวใจ และทำการช็อคไปเองโดยอัตโนมัติ สามารถลดอัตราการเสียชีวิตโดยเฉียบพลันได้
 
2.2 การฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ CRT (Cardiac Resyn-chonization Therapy)
เป็นเครื่องที่ฝังเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวที่เป็นรุนแรง ที่มีลักษณะการนำไฟฟ้าผิดปกติทำให้การบีบตัวของหัวใจไม่สัมพันธ์กัน เพื่อให้มีการนำไฟฟ้าหัวใจที่ดีขึ้น เป็นผลทำให้หัวใจทำงานบีบตัวได้ดีขึ้น สามารถทำให้อาการผู้ป่วยดีขึ้นได้ นอนโรงพยาบาลน้อยลง และลดอัตราการเสียชีวิตได้ อุปกรณ์ชนิดนี้อาจมีการเสริมหน้าที่เป็นแบบช็อคไฟฟ้าหัวใจ เรียกว่า CRT-Defribrillator
 
           
 

3. การรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ

คือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ(CardiacTranplantation)  ใช้ในกรณีที่ไม่มีทางรักษาโดยวิธีข้างต้น

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด