การดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด
อย่างไรก็ตามทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะมีพัฒนาการล่าช้าบ้าง เพราะระบบสมองของทารกจะเจริญเร็วที่สุดในช่วง 6-7 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ แต่เมื่อทารกคลอดก่อนช่วงเวลานี้จึงทำให้สมองยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่มากนัก ซึ่งแพทย์จะคอยตรวจเช็คพัฒนาการอย่างสม่ำเสมอ เช่น การได้ยินและการมองเห็น ส่วนการส่งเสริมพัฒนาการนั้น คุณพ่อคุณแม่อาจกระตุ้นลูกด้วยเสียงดนตรีเบา ๆ การพูดคุยกับลูกบ่อย ๆ การใช้สีและแสงอย่างเหมาะสมด้วย
ปัญหาของทารกที่คลอดก่อนกำหนด
- ตัวเย็น เนื่องจากทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะตัวเล็กและตัวเย็นได้ง่าย จึงจำเป็นต้องคอยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อบอุ่น โดยอาจจะใช้ตู้อบเป็นเครื่องมือหลักในการกำหนดอุณหภูมิ
- หายใจลำบาก ทารกคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักน้อย เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนดที่น้ำหนักตัวแรกคลอดเพียง 1 กิโลกรัม มักจะมีปัญหาการหายใจ และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจช่วย เพราะปอดยังทำงานได้ไม่เต็มที่
- ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากการคลอดก่อนกำหนดทำให้ทารกตัวเย็นได้ง่าย จึงต้องดึงเอาสารสะสมที่เก็บไว้เป็นพลังงานมาสร้างอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ในระดับ 37๐C ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้
- ติดเชื้อได้ง่าย ภูมิคุ้มกันของทารกนั้นมักจะได้จากแม่ในช่วงระยะท้ายชองการตั้งครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนดจึงมีโอกาสติเชื้อมากกว่าทารกปกติถึง 4 เท่า
- ตัวเหลือง เนื่องจากการทำงานของตับในทารกคลอดก่อนกำหนดยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ทารกมีอาการตัวเหลืองนานกว่าทารกที่คลอดตามกำหนด และอาการตัวเหลืองนี้จะพบมากโดยเฉพาะในคนเอเชีย
- การดูดกลืน ร่างกายของทารกยังทำงานประสารการดูดกลืนและการหายใจไม่ค่อยดี ทำให้มีโอกาสสำลักนมได้บ่อย ๆ
- น้ำคั่งในสมอง ส่วนใหญ่ก็จะหายไปเองได้ แต่อาจมีทารกบางกลุ่มที่เมื่อโตขึ้นเรื่อยๆ หัวจะดูโตกว่าคนอื่นนิดหน่อย เพราะถุงน้ำในสมองจะใหญ่กว่าคนปกติ แต่ไม่มีปัญหาด้านพัฒนาการ
- ลำไส้เน่าตายอย่างเฉียบพลัน ลำไส้ทารกคลอดก่อนกำหนดอาจเน่าขึ้นมาโดยไม่มีทางป้องกัน และเกิดได้โดยไม่ทราบสาเหตุ สามารถแสดงอาการได้หลายประเภท เช่น ลำไส้ขาดเลือดชั่วคราว ลำไส้ตายแต่ไม่ทะลุ และลำไส้ทะลุ
ข้อแนะนำในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดที่บ้าน
1. ควรจัดสถานที่สภาพแวดล้อมสะอาด โปร่ง ไม่อับมีอากาศถ่ายเทสะดวก พ้นจากเสียงรบกวนต่าง ๆ
2. คุณแม่ควรให้นมลูกบ่อย ๆ เนื่องจากทารกมักมีอาการอยากนอนอยู่ตลอดเวลา ควรปลุกให้ลูกดูดนมอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารจากนมแม่ได้อย่างเต็มที่ เพื่อการพัฒนาร่างกายที่สมบูรณ์
3. ระบบการย่อยและการดูดซึมของทารกยังมีน้อยมากเมื่อรับนมแม่เสร็จ คุณแม่ควรดูแลลูกน้อยไม่ให้สำรอกนมหรือแหวะนม หรืออาเจียน โดยการจัดท่าให้ลูกน้อยเรอออกได้โดยง่าย ซึ่งจะช่วยลดอาการท้องอืดได้ด้วย
4. ดูแลให้ลูกอบอุ่นอยู่เสมอ เนื่องจากเด็กจะมีภาวะตัวเย็นได้ง่าย ซึ่งจะมีผลทำให้ลูกไม่สบายบ่อย หากลูกมีอาการตัวร้อน มีน้ำมูก หรือมีเสมหะ คุณแม่ต้องรีบพาลูกน้อยไปโรงพยาบาลด่วน
5. คุณแม่อาจจะกระตุ้นพัฒนาการของลูกโดยการเปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ หรือแขวนกรุ๊งกริ๊งไว้ให้ลูกน้อยมอง หรืออยากไขว่คว้า เนื่องจากเด็กที่คลอดก่อนกำหนดจะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กที่คลอดตามกำหนดประมาณ 2-3 เดือน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย
6. ไม่ควรนำทารกไปในที่ที่มีผู้คนแออัด อากาศถ่ายเทไม่ดีก่อนสัมผัสหรืออุ้มลูกน้อย คุณแม่ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง รวมทั้งรักษาความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะเชื้อโรคต่าง ๆ อาจแฝงมากับของเยี่ยมที่ญาติ ๆ นำมา คุณแม่ไม่ควรนำมาไว้ในห้องเดียวกับที่ลูกอยู่
7. หากลูกน้อยมีอาการถ่ายเหลว ถ่ายเป็นมูก หรือมีความผิดปกติทางด้านผิวหนัง อาจมีตุ่มพุพองโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือผิวหนังแห้ง ลูกไม่ยอมดูดนม หรือน้ำ คุณแม่ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อให้กุมารแพทย์ตรวจวินิจฉัยอีกครั้ง
8. เมื่อครบกำหนดตรวจสุขภาพของลูกน้อย คุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ให้ตรงเวลา และสม่ำเสมอ เพื่อการติดตามที่ต่อเนื่องของคุณหมอ ซึ่งหากมีความผิดปกใด ๆ เกิดขึ้นจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที
9. เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ คุณแม่ควรบอกกล่าวกับญาติ ๆ หรือคนอื่น ๆ ที่จะเข้าเยี่ยมลูกน้อย หรืออยากมาอุ้มว่าลูกของคุณแม่ไม่เหมือนกับเด็กที่คลอดตามกำหนดซึ่งลูกของคุณอาจจะได้รับเชื้อจากผู้ที่มาเยี่ยมได้ง่าย เนื่องจากยังไม่มีภูมิต้านทานที่ดี ซึ่งหากคุณแม่มีลูกอีกคนที่อยู่ในวัยกำลังซนด้วยแล้ว ยิ่งอาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้เนื่องจากลูกอีกคนที่วัยกำลังซน ยังไม่เข้าใจสภาวะที่น้องเกิดใหม่ คุณแม่ต้องให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างมาก
ด้วยความปรารถนาดี จากศูนย์สูตินรีเวช รพ.วิภาวดี