จัดตู้ยาเตรียมรับมือไข้หวัด
ในช่วงที่อากาศกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ หลายๆ บ้านเจอปัญหาไข้หวัดเล่นงานซะแล้วหละครับ ยิ่งใครที่ชอบอวดว่าตัวเองแข็งแรง หวัดเล็กหวัดใหญ่ไม่เคยมากร้ำกรายก็ยิ่งต้องระวังเอาไว้ให้มาก เพราะในตู้ยาบ้านคุณอาจจะขาดอุปกรณ์รับมือกับโรคหวัด และพอมันเข้ามาจู่โจมก็แทบตั้งตัวไม่ทัน จริง ๆ แล้วในช่วงหน้าหนาว จะมีคนป่วยเป็นไข้หวัดกันเยอะครับ แถมยังมีสถิติด้วยว่า ปริมาณคนป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี
ดังนั้น เราจึงควรเตรียมตู้ยาประจำบ้านของเราเอาไว้ให้พร้อมเสมอครับ และยารวมทั้งอุปกรณ์ ดูแลรักษาไข้หวัด ในต่างประเทศจะเรียกว่า Flu Survival Kit ก็ล้วนเป็นยาและอุปกรณ์ที่เราหาซื้อได้ไม่ยาก ยาและอุปกรณ์หลาย ๆ อย่าง เช่น ยาแก้ไข้ แก้ปวด แก้ไอ แก้เจ็บคอ หรือยาลดน้ำมูก คุณผู้อ่านก็อาจจะมีอยู่ที่บ้านแล้วก็ได้ครับ
สิ่งที่เรามักใช้กันเมื่อเราเป็นหวัด ได้แก่
- ยาลดไข้ บรรเทาปวด(Fever and pain reliever)
- ยาแก้ไอ(Cough syrups and drop)
- สเปรย์พ่นจมูก(Nasal sprays)
- ยาลดอาการแน่นจมูก หายใจไม่ออก(Decongestants)
- ปรอทวัดไข้Thermometer
- กระดาษทิชชู
แต่มีข้อควรระวังที่ต้องบอกกันก่อนนะครับ นั่นคือ ก่อนที่คุณจะให้ยาใด ๆดังที่กล่าวไว้ข้างต้น กับเด็กต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะยาแก้หวัด แก้ไอบางอย่าง
มีฤทธิ์กดระบบประสาท อาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กๆได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปีรวมถึงผู้ใหญ่ที่มีโรคเรื้อรังบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ ก็ต้องระวังและต้องตรวจเช็คกับแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนที่จะรับประทานยานะครับ
ที่นี้มารู้จักยาที่เรามักใช้ในการรับมือกับโรคหวัดครับ
1.ยาลดไข้
คงไม่มีใครในโลกที่ที่เกิดมาแล้วไม่เคยกินยาลดไข้ ยาลดไข้เป็นยาที่อยู่คู่กับเรามาตลอด ตั้งแต่ผมจำความได้ ยาที่เรานิยมใช้กัน มี 2กลุ่มคือ
1.กลุ่ม Acetaminophen หรือที่เรารู้จักกันดีคือ Paracetamol ยาในกลุ่มนี้ เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย สามารถใช้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ระคายกระเพาะอาหาร สามารถลดไข้ บรรเทาปวดได้ดีพอสมควร ข้อควรระวังของยาในกลุ่มนี้คือ ยามีผลข้างเคียงกับตับได้ โดยเฉพาะผู้ที่ตับไม่ปกติ หรือ รับประทานเกินขนาดมากๆ อาจทำให้ตับพังได้ อีกอันคือ พวกแพ้ยา ซึ่งก็ห้ามทานอยู่แล้ว
2.กลุ่ม NSAID (Non-Steroid Anti-inflamatory Drug) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า มันคือยาที่ลดการอักเสบ ทีไม่ใช่ Steroid ฟังดูอาจไม่คุ้น แต่ถ้าบอกว่า Aspirin หรือ Ibuprofen หรือ ทัมใจ ฯลฯ ยาพวกนี้ สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา เป็นยาที่สามารถลดไข้ บรรเทาปวดได้ดี ดีกว่า Paracetamol ด้วยซ้ำ แต่ก็มีฤทธิ์ข้างเคียงที่มากกว่า ไม่ว่าจะเรื่องของการระคายกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่ ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ อาเจียนเป็นเลือด หรือ กระเพาะทะลุไปเลยได้ครับ นอกจากนั้นยังทำให้การทำงานของเกล็ดเลือดแย่ลง ทำให้เลือดหยุดยากขึ้น ในกรณีที่เป็นโรคไข้เลือดออก การทานยากลุ่มนี้ไป อาจทำให้อันตรายถึงชีวิตได้ง่ายๆเลยครับ ยังไม่นับเรื่องการแพ้ยา ฯลฯ นั่นคือ ยากลุ่มนี้ จึงไม่เหมาะที่จะซื้อทานเอง โดยเฉพาะถ้ายังไม่แน่ใจว่า เป็นโรคอะไรแน่ ควรไปพบแพทย์ก่อนครับ
นั่นคือ ดูเหมือน Paracetamol น่าจะดูใช้ง่ายกว่า อันตรายน้อยกว่าครับ เป็นยาที่สามารถซื้อติดบ้านและทานได้ ถ้ารู้สึกมีอาการดังกล่าวครับ
2.ยาแก้ไอ
ในการดูแลอาการไอนั้น จะมียาอยู่ 3 ประเภทคือ Expectorant ที่เราเรียกกันว่า ยาขับเสมหะ , Mucolytic หรือ ยาละลายเสมหะ และ Suppressant ยากดการไอซึ่งมีส่วนผสมของ Dextromethorphan สุดท้ายคือพวกยาอมทั้งหลาย
ยาดังกล่าวทำอะไรได้บ้าง และใช้อย่างไร แนะนำดังนี้ครับ
3.ยาขับเสมหะ ละลายเสมหะ
ยากลุ่มนี้เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย มีขายตามร้านขายยา เราจะคุ้นหูมากๆจาก โฆษณาทั้งหลาย เช่น Bisolvon , Mucosolvan , ไอโคลิด ,มิวโคลิด ฯลฯ ก็พวกๆนี้ทั้งนั้น ยาพวกนี้จะทำให้เสมหะไม่ข้น สามารถไอออกได้ง่าย ทำให้ไม่มีเสมหะค้างมาก ก็จะหายไอไปเอง เป็นยาที่สามารถซื้อเก็บไว้บ้านได้ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ค่อยมีแพ้ยา หรือ ฤทธิ์ข้างเคียง ทานให้ตามขนาดที่กำหนดเป็นใช้ได้ ควรทานน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้เสมหะใสขึ้น
4.ยากดการไอ
ยาพวกนี้จะใช้ได้ผลดี เมื่อมีอาการไอแห้ง ๆ และไม่มีเสมหะ ซึ่งมันจะทำให้เราไม่ไอ ข้อดีคือ เราจะรู้สึกสบายได้อย่างรวดเร็ว ไม่ไอ แต่ก็มีอันตรายที่สูง เนื่องจาก ยาบางชนิดในกลุ่มนี้ อาจมีการกดระบบประสาท ทำให้ง่วงซึม บางชนิดทำให้เกิดการเสพติด หรือ ในกรณีที่มีเสมหะมากๆ ยาชนิดนี้ จะไปกดการไอ ทำให้เสมหะไม่ออก อาจทำให้อาการไม่สบายของเรา ยิ่งไปกันใหญ่ นั่นคือ ควรระวังในการใช้ยา ไม่แนะนำให้ซื้อทานเอง โดยเฉพาะในเด็ก ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
5.ยาอม
ก็เป็นยาที่มีขายกันทั่วไปตั้งแต่ร้านขายยา ยันร้านสะดวกซื้อ ส่วนใหญ่ก็จะมีสรรพคุณ ส่วนประกอบคล้ายๆกันคือ มียาชา ทำให้เราไม่เจ็บคอ มี Menthol ทำให้เย็น โล่งคอ จมูก บางตัวก็อาจมียาฆ่าเชื้อนิดๆ หน่อยๆผสมลงไปให้ดูดี บางเจ้าก็เอาVitamin C ใส่ลงไปทำให้ อร่อย ช่วยแก้หวัด(หรือเปล่า) ยิ่งบางเจ้ามีการ Differentiated Product ให้หลากหลายทั้ง Sugar Free , เม็ดใส สวย ทำเป็นน้ำยาบ้านปาก กลั้วคอก็ยังมี ( แพงด้วยอีกต่างหาก)ฯลฯ พวกนี้ ก็เป็นยาที่ไม่ค่อยมีพิษภัยเท่าไหร่ สรรพคุณไม่ชัดเจน เหมือนยาผีบอก แต่ทานแล้ว มันก็ทำให้สบาย ชาที่คอ ไม่เจ็บคอ ถ้าไม่แพ้ หรือ ไม่ทานเกินขนาด ไม่น่ามีปัญหา
6.ยาแก้น้ำมูก คัดจมูก แน่นจมูก
อาการคัดจมูก แน่นจมูก เป็นอาการที่ให้เรารู้สึกป่วยได้มากๆ เช่นเดียวกัน ยาที่ใช้ในกลุ่มนี้มีหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน เช่น ยาแก้ภูมิแพ้ บางทีเราก็เรียกว่า ยาแก้แพ้ ยานี้ ก็มีขายกันทั่วบ้านทั่วเมือง ที่เรารู้จักกันดีคือ ยา Chlorpheniramine เป็นยาเก่าแก่ กินกันมานาน ออกฤทธิ์ได้ดี (บางที ดีเกิน คือ ทั้งน้ำมูก น้ำลายแห้งไปหมด คอแห้งไปเลย) ราคาถูกมาก มากๆ ไปซื้อ 1 เม็ดคนขายอาจไม่พูดด้วย เพราะเขาขายกันเป็นร้อยเม็ดครับ ยานี้ ก็สามารถซื้อเก็บไว้บ้านได้ ทานได้ ช่วยลดอาการแพ้อากาศ หรือ น้ำมูกได้ โดยเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้ร่วมด้วยจะได้ผลดี ฤทธิ์ข้างเคียงคือ ยาทำให้ง่วงครับ บางคนอาจยิ่งชอบ กินแล้วจะได้นอนๆ ไปซะ ปัจจุบัน ก็มียาใหม่ออกมามากมาย คือ ทำให้ไม่ง่วง คอไม่แห้ง กินวันละครั้ง ออกฤทธิ์ยาว ยาพวกนี้ แนะนำให้ไปหาหมอดีกว่า เพราะราคาแพง การไปซื้อทานเองอาจไม่คุ้ม ถ้าแพทย์ดูแล้วไม่จำเป็น เพราะบางชนิด ยิ่งตัวที่ออกมาใหม่ๆ เม็ดเดียวซื้อ Chlorpheniramine ได้สัก300 เม็ดเลย ( นี่พูดจริงนะครับ) นั่นคือ ไปหาหมอดีกว่า ถ้าอยากกินยาแบบนั้น
ยากินแก้แน่นจมูก พวกนี้ ได้แก่ยากลุ่ม Pseudoephredineที่เราคุ้นๆ กันในชื่อ Maxiphed , Actifed( อันนี้มียาแก้แพ้ผสมด้วย)เป็นยาที่ใช้ได้ดี มีทั้งแบบเม็ด และแบบน้ำสำหรับเด็กเป็นยาที่่หาซื้อได้ง่าย ส่วนตัวผมเอง ไม่แนะนำให้ไปซื้อยาทานเองครับ ยาพวกนี้ มีฤทธิ์ข้างเคียง เช่นทำให้ใจสั่น ปวดหัว เวียนหัวได้ ในเด็กอาจทำให้ฝันร้าย ร้องกวนได้
7. สเปรย์พ่นจมูก
เป็นทางเลือกหนึ่งที่บางท่านชอบ โดยจะมีชนิดที่เรียกว่าSaline nasal sprays ครับการใช้ Saline nasal sprays จะช่วยทำความสะอาดจมูก และลดอาการแน่นเนื่องจากไข้หวัด ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น อีกทั้งสเปรย์ชนิดนี้ไม่มีตัวยาผสมอยู่ จึงสามารถใช้ได้หลายครั้ง อาจจะสัก 2ครั้ง ต่อชั่วโมงก็ยังได้ ส่วนชนิดที่เป็นยา ทั้งยาแก้แน่น หรือ Steroid พวกนี้ ควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อมาพ่นเอง เพราะอันตราย บางตัวอาจทำให้ จมูกแน่นขึ้นหลังใช้ไปนานๆ
จริงๆ ยังมียาอีกกลุ่ม ที่ปกติ แพทย์ไม่ค่อยได้ใช้ แต่ ชาวบ้านจะรู้จักมากกว่า คือ ยาที่นำยาที่กล่าว ๆมา มาผสมกัน All in One เลย ส่วนใหญ่จะเอา ยาลดไข้ ผสมยาลดน้ำมูก คือ เอา Paracetamol ผสมกับ Chlorpheniramine ครับ กินแล้วก็ลดได้ทั้งไข้ ทั้งน้ำมูก ที่เรารู้จักกันดี ก็พวก Tiffy , Decolgen ฯลฯ เวลาทีวี จะมีโฆษณาของยาทำนองนี้บ่อย โรงหนังก็ไม่เว้น ( แสดงว่ามันคงขายดีมากๆ) ส่วน Tylenol ซึ่งเป็น Brand ที่ดังมาก ก็ยังทำออกมาเลย ชื่อว่า Tylenol Cold พวกเราอาจไม่เคยได้ยิน (เพราะมันไม่ Sponsor เวลาถ่ายทอดกีฬาหนะ) จริงๆ มันก็ใช้ได้ดีนะครับ ก็ไม่ต่างจากการกินแบบแยกกัน แต่สิ่งที่ควรระวัง คือ เรื่องของขนาดยา ว่า แต่ละเม็ดมันมี ยาอะไร เท่าไหร่กี่ มิลลิกรัม เพราะส่วนใหญ่ เนื่องจากยาหาง่าย คนก็กินเยอะ บางครั้งไปกินปนกับยาปกติอีก เพราะไม่ทราบว่ามันตัวเดียวกัน เช่นกินทั้ง Tiffy ทั้ง tylenol ซึ่งทั้ง2 ตัวก็มี Paracetamol เป็นส่วนประกอบทั้งคู่ บางครั้งอาจทำให้เกินขนาด หรือ บางทีไม่ได้ มีน้ำมูก แต่พอกินยาแบบนี้ ก็ได้ยาลดน้ำมูกไปโดยไม่จำเป็นครับ
8.ยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะ,ยาฆ่าเชื้อ หรือ Antibiotic
หรือที่พวกเราๆ ชอบเรียกกันว่า ยาแก้อักเสบ (ไม่รู้ไปเอามาจากไหน แต่ก็เรียกกันแบบนี้ทั้งประเทศ) เป็นยาเอาไว้สำหรับฆ่าเชื้อโรค ซึ่งการใช้ยาในกลุ่มนี้ จริงๆแล้วควรได้รับการดูแลจากแพทย์ ไม่ควรซื้อยาเอง ยิ่งไปกวานั้นจริงๆ แล้ว โรคไขหวัด มากกว่า 80% เกิดจากเชื้อ Virus ครับ ซึ่งไม่ต้องทานยาแก้อักเสบ กินยาตามอาการ กินน้ำเยอะๆ นอนเยอะๆมันก็หายเองได้ครับ การทานยาแก้อักเสบพร่ำเพร่อ จะทำให้เชื้อดื้อยาได้ง่าย ซึ่งทำให้รักษาได้ยากขึ้นอีกทั้งบางชนิดยังส่งผลถึงการดื้อยาโดยรวมของระบบเลยครับ นั่นคือ ไม่ควรกินเอง ควรไปพบแพทย์ครับ
9.เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้
อุปกรณ์อีกชนิดที่ควรมีติดตู้ยาที่บ้านไว้ก็คือ ที่วัดไข้ ที่เราชอบเรียกกันแต่โบราณว่า ปรอทวัดไข้ ถือเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งเลยครับ เพื่อที่คุณจะได้วัดอุณหภูมิร่างกาย และรับประทานยาลดไข้ เมื่อมีอาการไข้ เพราะบ่อยครั้งที่เราทานยาลดไข้ ไปโดยไม่มีไข้ หรือ บางทีก็คิดว่าคนใกล้ตัวมีไข้ เพราะเอามือที่ออกจากห้องแอร์ ไปจับหน้าผากเด็ก แล้วร้อนก็คิดว่า มีไข้
เครื่องวัดไข้ก็มีหลายชนิดครับ
- ปรอทแก้ว แบบที่ข้างในเป็นปรอทเลยที่แม่นยำมาก ตามหลักวิชาการเลย คือ ใช้อมใต้ลิ้น ข้อดีคือ ไม่ต้องใส่ถ่าน ไม่มีพัง ถ้ามันไม่แตกซะก่อน ราคาถูก ข้อไม่ดีของมันคือ มันดูยาก ต้องคนใช้เป็นเป็นไม่งั้น ดูไม่ออก , ต้องใช้เวลาในการอม แล้ว รอ ถ้าเอาออกเร็วค่าอาจไม่ถูกต้อง ,ในเด็กจะใช้ยาก เด็กไม่อม กัด เอามาเหน็บรักแร้ ก็ไม่แม่นยำ ปัจจุบัน ปรอทแบบอมที่ทำออกมาเป็น Digital เช่นเดียวกัน แต่ก็ต้องใช้เวลาในการอมเหมือนปรอทจริงๆ
- ที่วัดแบบแปะหน้าผาก ก็ราคาไม่แพง ใช้ง่าย แต่ ก็พังง่าย ไม่แม่นยำมากนัก
- แบบวัดที่หูโดยใช้Infrared ก็เป็นนิยมใช้กันมากขึ้น ทั้งที่บ้าน และ ตามรพ.ข้อดี คือ ใช้ง่าย ไม่ต้องรอนาน ข้อเสีย คือ ราคาสูง มีอายุการใช้งาน ต้องใส่ Battery, การวัดต้องวัดเป็น คือ ต้องให้แสงไปตกกระทบเยื่อแก้วหู ต้องมีการดึงใบหูร่วมด้วยอยากถูกต้องมิฉะนั้น ค่าจะผิดพลาด
ในการวัดไข้นั้น มีข้อแนะนำอย่างหนึ่งคือ ถ้าวัดทางปาก ไม่ควรวัดทันทีหลังจากดื่มน้ำร้อน หรือน้ำเย็นนะครับ เพราะค่าอาจไม่ถูกต้องได้
ดื่มน้ำมากๆ
เวลาไม่สบาย คนโบราณ ผู้หลักผู้ใหญ่ ก็มักจะบอกให้กินน้ำเยอะๆ ไม่ผิดหรอกครับ เพราะการดื่มน้ำเยอะ จะทำให้ระบบไหลเวียนทำงานได้ดี ลดความร้อน ช่วยให้เสมหะ ไม่เหนียว ไอออกได้ง่าย
ดื่มน้ำอะไรดี?
น้ำที่ทาน เอา ง่ายสุดก็"น้ำเปล่า"นี่แหละครับ จะร้อนจะอุ่นจะเย็น ก็ได้ทั้งนั้น สมัยก่อนเขาชอบให้กินน้ำอุ่น เพราะมันไม่ระคายคอ ไม่ทำให้น้ำมูกไหลถ้าเราพวกแพ้อากาศเย็น แต่จริงๆก็ไม่ได้บังคับ ทานน้ำเย็นก็ได้ น้ำอื่นที่ทานได้ ก็อาจ"น้ำผลไม้" เพราะอาจได้วิตามินไปเสริม(อันนี้ก็ผีบอก อย่าไปจริงจังมาก คิดว่ากินแล้วอร่อยก็ OK แล้ว) แต่ถ้าหวานไป อาจทำให้อ้วนได้ครับ พวกน้ำเกลือแร่ถ้าเราไม่ได้มีอาเจียนหรือท้องเสียมากๆ ก็ไม่จำเป็นครับ
น้ำที่ไม่ควรกินได้แก่
- น้ำอัดลม อันนี้แน่นอน ไม่มีประโยชน์ อาจทำให้แน่นท้อง ระคายกระเพาะ ทำให้อ้วน กินข้าวไม่ลง กินน้ำได้น้อยลง
- นม นี่บางคนเขาว่า อาจทำให้คลื่นไส้ แน่นท้อง แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นก็น่าจะทานได้ครับ
ปริมาณของน้ำที่ทาน บางคนก็ว่า 2 ลิตร 3ลิตร ต่อวัน จริงๆแล้วมันขึ้นกับกิจกรรมของแต่ละคน อากาศ แต่เอาง่ายว่าน้ำพอไหมคือ ดูน้ำที่ออกจากตัวเรา ไม่ต้องไปดูที่อื่นเลย มันคือ ปัสสาวะนั่นเอง ถ้าปัสสาวะเราสีใสดี แปลว่าเราทานน้ำได้เพียงพอครับ ก็ทานแบบที่ทำอยู่ต่อไป เพียงพอแล้ว แต่เราดูสีปัสสาวะแล้วสีเข้มมากแบบนี้แปลว่าทานน้ำไม่พอ จะกี่ิลิตรกี่แก้วต่อวันก็ไม่สนหละครับ ต้องทานให้มากกว่านั้น ยกตัวอย่าง คุณตำรวจจราจรยืนโบกรถทั้งวัน ทานน้ำวันละ3 ลิตร ก็อาจไม่พอ เพราะมันเสียไปทางอื่นหมด เทียบกับหนุ่ม Office เปิดแอร์นั่งโต๊ะมีคนชงกาแฟให้กิน กินน้ำวันละ 1.5 ลิตร ก็บ่นแล้วว่าปัสสาวะทั้งวัน อันนี้สามารถใช้ได้กับคนที่ไตทำงานปกตินะครับ
สุดท้าย ที่ขาดไม่ได้ ก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอครับ นอนเยอะๆครับ
หวังว่าทุกท่านคงพร้อมที่จะรับมือกับโรคประจำชาติของเราแล้วนะครับ
นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์ทั่วไป
ขอบคุณที่มา Thaiclinic.com