“สดใส แก้วสุข” กับประสบการณ์ใช้สิทธิบัตรทองผ่าตัดต้อกระจก
“สดใส แก้วสุข” เป็นหญิงชราวัย 83 ปี ปัจจุบันไม่ได้ทำอาชีพอะไรเพราะอายุมากแล้ว อาศัยอยู่กับลูกสาวในชุมชนนิมิตรใหม่เมืองมีน เขตคลองสามวา กทม.เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่เมื่อสิบกว่าปีก่อนใช้สิทธิบัตรทองรักษาดวงตา ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและมีดวงตาที่ใช้การได้ดีจนมาถึงปัจจุบัน
เรื่องราวของเธอต้องย้อนอดีตไปไกลพอสมควร เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน อยู่ๆ เธอรู้สึกปวดตาจึงให้ลูกสาวพานั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี จนที่สุดแล้วหมอก็ตรวจพบว่าเป็นต้อหินที่ตาข้างขวา “อาการมันปวดมาก นั่งไม่ได้ นอนก็ไม่ได้ ได้แต่เอามือปิดตาไว้อย่างนั้น หมอบอกว่าต้องรักษาด้วยการยิงแสงเลเซอร์ ก็ใช้เวลารออยู่ 3 วันเขาก็ยิงให้ พอยิงแสงเลเซอร์แล้วก็ค่อยยังชั่ว” สดใส กล่าว
อย่างไรก็ดี ในขณะนั้นเธอยังไม่ได้ไปทำเรื่องขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรทอง ค่าใช้จ่ายในการรักษาจึงต้องจ่ายเอง ทั้งยิงเลเซอร์และนอนโรงพยาบาล 7 วัน หมดค่าใช้จ่ายไปประมาณ 7,000 บาท ซึ่งก็เป็นจำนวนที่มากพอสมควรในสมัยนั้น พอรักษาเสร็จ ต่อมาเธอก็ไปทำบัตรทอง โดยมีหน่วยบริการประจำคือโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี แล้วต่อมาก็ย้ายมาที่โรงพยาบาลนวมินทร์ ประมาณ 10 ปีต่อมา เธอก็เป็นต้อที่ตาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นต้อกระจกที่ดวงตาข้างซ้าย
“อาการพร่ามัวมองอะไรไม่ค่อยเห็น ก็เลยไปหาหมอ หมอเขาบอกเป็นต้อกระจก ต้องผ่าตัด แต่ตอนนั้นทางโรงพยาบาลนวมินทร์เครื่องมือยังไม่ครบ ก็เลยส่งตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลราชวิถี พอไปโรงพยาบาลราชวิถีหมอก็ผ่าตัดใส่แก้วตาเทียมให้” สดใส กล่าว
อย่างไรก็ดี ในการรักษาดวงตาครั้งนี้สดใสไม่ต้องจ่ายเงินเอง แต่ใช้สิทธิบัตรทองในการรักษาตัว ทำให้ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรนอกจากค่าเดินทาง “แต่ตอนนั้นทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาลราชวิถี ต้องไปเอาใบส่งตัวมาจากโรงพยาบาลนวมินทร์ก่อน หมอนัดวันไหนจะไปก็ไปขอใบส่งตัวล่วงหน้าประมาณ 1-2 วัน พอตรวจรักษาอะไรเสร็จ เราไม่มีค่าใช้จ่าย ทางโรงพยาบาลราชวิถีเขาก็ไปเรียกเก็บเงินที่โรงพยาบาลนวมินทร์เอง”สดใส กล่าว
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ดวงตาของเธอยังใช้งานได้ดี มองเห็นชัดเจน อ่านหนังสือได้ไม่ต้องใส่แว่น ไม่เจ็บไม่ปวดอะไร แต่ยังต้องไปพบหมอเพื่อติดตามอาการเป็นระยะทุกๆ 6 เดือนครั้ง
สดใส กล่าวถึงภาพรวมการใช้สิทธิบัตรทองว่า โดยรวมแล้วรู้สึกประทับใจ เพราะเราไม่ต้องคิดมากเรื่องค่าใช้จ่าย โรคเกี่ยวกับตาถ้าต้องจ่ายเงินเองก็คงแพงหลายหมื่นบาทอยู่เหมือนกัน แต่พอใช้บัตรทองแล้วไม่ต้องมากังวลว่าไปโรงพยาบาลแล้วจะต้องจ่ายเท่าไหร่ รู้แต่ว่ามีค่ารถไปก็พอ ส่วนที่เหลือเดี๋ยวโรงพยาบาลไปจัดการต่อเอง
“ก็อยากให้บัตรทองมีความยั่งยืน อยู่ต่อไปนานๆ เพราะคนที่ลำบากกว่าเราก็ยังมีอีกเยอะ ถ้าคะแนนเต็ม 10 ก็ให้ 10 เพราะเรื่องเงินเรื่องทองค่ารักษาพยาบาลเราไม่ต้องพูดเลย”สดใส กล่าวทิ้งท้าย
เรื่องราวประสบการณ์ดีๆ จาก
สปสช.