ตามที่รัฐบาลมีนโยบายผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต (New Engine of Growth) และผลักดันการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ (S-curve) โดยการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ในด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Affluent, Medical and Wellness Tourism) และเพิ่มเติมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-curve) ในด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) เพื่อรองรับการขยายตัวของกลุ่มสินค้าและธุรกิจบริการทางด้านสุขภาพ โดยมีเป้าหมายในการเชื่อมต่อการค้าและการลงทุน
สำหรับประเทศไทย มีโรงพยาบาลเฉพาะทางเกิดขึ้นมากมายโดยมีชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการและทำการรักษากันอย่างต่อเนื่อง เหตุผลหลักคือ ค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าต่างประเทศ ความเชี่ยวชาญและความชำนาญของแพทย์ และที่สำคัญคือการบริการ ซึ่งประเทศไทยได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเราคือ Land of smile อีกหนึ่งสิ่งที่น่าจับตามองในเรื่องของการเตรียมความพร้อมที่จะก้าวสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาตินั่นก็คือ โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังแห่งเดียวและแห่งแรกในประเทศไทย ที่มีจุดแข็งที่เด่นชัดคือ การมีทีมแพทย์และพยาบาลเฉพาะทางโรคปวดที่เกิดจากกระดูกสันหลังและระบบประสาทที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน ทำให้รู้ลึก รู้จริง สามารถรักษาได้อย่างตรงจุด ทำให้วินิจฉัยได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ประกอบกับการนำเอานวัตกรรมสมัยใหม่จากทั่วโลกเข้ามาช่วยในการรักษา เช่น ระบบเลเซอร์และการส่องกล้องนำวิถีเพื่อช่วยในการผ่าตัดกระดูกสันหลังโดยเฉพาะ ห้องผ่าตัดที่พร้อมด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยระดับโลก ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ ถูกต้อง แม่นยำ ปลอดภัยและตรงจุด ข้อผิดพลาดต่ำ อีกทั้งทีมแพทย์ยังมีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานจากหลากหลายประเทศชั้นนำ ถือได้ว่าเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านโรคกระดูกสันหลังและระบบประสาทที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทย
นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เผยว่า “ที่ผ่านมาคนไข้ส่วนใหญ่เป็นคนไทย และยังมีคนไข้จากต่างชาติ กลุ่มตะวันออกกลางเดินทางเข้ามารักษา เมื่อผลการรักษาดีเป็นที่น่าพอใจจึงมีการบอกต่อกันแบบปากต่อปาก บอกเล่าต่อๆ กันไปในกลุ่ม ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามด้านการรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทางโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ยังรองรับการเข้าถึงข้อมูลด้วยเว็บไซต์หลากหลายภาษา ที่พร้อมสำหรับผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV จีน และตะวันออกกลาง ที่มีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลัง โดยในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลนอกจากจะมีข้อมูลทางด้านการรักษา การป้องกันและวิธีการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคกระดูกสันหลังแล้ว ยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชนทั่วไปอีกด้วย ยิ่งรัฐบาลผลักดันร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพในระยะ 10 ปี ยิ่งตอกย้ำแนวโน้มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทยนั้นยังมีช่องทางในการเติบโตอีกมหาศาล เพื่อรองรับดีมานด์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามารับการรักษาในเมืองไทย อาทิ ชาวอาหรับ, จีน, กลุ่ม CLMV เป็นต้น และเชื่อว่าในอนาคตจะเติบโตอย่างมาก และสามารถดันสัดส่วนลูกค้าต่างชาติให้เพิ่มขึ้นได้ เป็นการขยายฐานลูกค้าให้เข้ามารับบริการและการรักษาที่มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย” นพ.ดิตถพงษ์ กล่าว