ปัจจุบันมีนวัตกรรมการรักษาโดยการผ่าตัดเพื่อช่วยให้ผู้มีน้ำหนักมากได้มีโอกาสลดน้ำหนักลงได้ เรียกว่าการผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก
วิธีการทำได้หลายแบบ กล่าวคือ
1. การใส่ห่วงรัดกระเพาะอาหาร (Gastric Banding) คือ การส่องกล้องเข้าไปใส่ห่วงเพื่อลดขนาดของกระเพาะอาหาร ให้มีขนาดเล็กลง ลดน้ำหนักส่วนเกินได้ร้อยละ 30-40
2. การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Sleeve Gastrectomy) คือ การส่องกล้องไปผ่าตัดกระเพาะอาหารให้เล็กลงเป็นท่อยาว ลดน้ำหนักส่วนเกินได้ร้อยละ 50-60
3. การผ่าตัดบายพาส (R-Y Gastric Bypass) คือ การส่องกล้องผ่ตัดกระเพาะให้เล็กลง และนำลำไส้เล็กส่วนต้นมาต่อกับกระเพาะส่วนที่เล็กลง ลดน้ำหนักส่วนเกินได้ร้อยละ 70-80
ส่วนวิธีใดจะเหมาะกับผู้ป่วยแบบใด ขึ้นกับการวินิจฉัยของแพทย์และความหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคน [
ข้อมูลจากรพ.จุฬา]
การส่องกล้องเย็บกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก (Endoscopic Sleeve Gastroplasty:ESG)
การส่องกล้องเย็บกระเพาะอาหารเป็นการลดน้ำหนักด้วยวิธีการแบบใหม่ ซึ่งเลียนแบบประโยชน์ของการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักด้วยวิธี Sleeve Gastrectomy แต่ใช้วิธีการที่ไม่มีแผลผ่าตัดที่หน้าท้อง ดังนั้นจึงลดผลข้างเคียงจากการเกิดอาหารแทรกซ้อนและทำให้คนไข้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ไม่ได้มาทดแทนวิธีการผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบมาตรฐาน แต่ถือเป็นทางเลือกอีกอย่างหนึ่งที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดี
ประโยชน์ของการส่องกล้องเย็บกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก นอกจากช่วยลดน้ำหนักแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนที่มากับความอ้วน เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคข้อเสื่อม โรคไตวาย โรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดสมอง [
รพ.บำรุงราษฎร์]
เมื่อใดที่ควรผ่าตัดกระเพาะ
สำหรับกรณีผู้ป่วยโรคอ้วนที่เหมาะสม กับการใช้วิธีผ่าตัดกระเพาะ อ้างอิงตามเกณฑ์ของสมาคมผ่าติดโรคอ้วนและเมตาโบลิกแห่งประเทศไทย (Thailand Society for Metabolic & Bariatric Surgery : TSMBS) ได้แก่
- ผู้ที่มี BMI z 37.5 kg/m2
- ผู้ที่มี BMI Z32.5 kg/m2 และมีโรคร่วม
- ผู้ที่มี BMI 230 kg/m และมีโรคร่วมทางเมตาโบลิก หรือ
เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
เพราะ "โรคอ้วน" ทำให้เกิดโรคได้ทุกระบบในร่างกาย
- หยุดหายใจขณะนอนหลับ
- ไมเกรน
- ไขมันพอกตับ
- ตับแข็ง
- ไขมันอุดตันในเส้นเลือดหิวใจ
- กรดไหลย้อน
- โรคมะเร็ง
- มีบุตรยาก
- ข้อเข่าเสื่อม
- แผลเรื้อรังที่ขาจากเส้นเลือดดำอุดกั้นเรื้อรัง
วิธีปฎิบัติตัว หลังผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารแล้ว
หลังจากผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารแล้ว จะมีวิธีปฎิบัติตัวอย่างไร เลือกรับประทานแบบไหน หรือจะต้องควบคุมอาหารอย่างไรบ้าง
วันนี้เรามีข้อมูลดีดี จากคุณหมอพลเดช วิชาจารย์ ศัลยแพทย์เชี่ยวชาญผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็กและผ่าตัดลดน้ำหนัก (Minimally Invasive Surgery) รพ.จุฬารัตน์ชลเวช มาฝากกันค่ะ ☺️
0 หมายถึง งดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลให้เป็นศูนย์ ได้แก่ ข้าวสวย เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เส้นพาสต้า วุ้นเส้น ขนมปัง น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชาไข่มุก เนื่องจากอาหารเหล่านี้จะถูกดูดซึมในรูปแบบของน้ำตาลและเปลี่ยนเป็นไขมันในเซลล์ร่างกาย
1 หมายถึง ทานเนื้อสัตว์ให้ได้เป็นปริมาณ 1 กำมือของเรา เนื่องจากในระยะแรกร่างกายจะสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงานร่วมกับไขมันด้วยการทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของโปรตีนและกรดอะมิโนจำเป็นจะช่วยให้ร่างกายไม่ขาดโปรตีนและลดอาการผมหลุดร่วงได้
2 หมายถึง ดื่มน้ำเปล่าให้ได้วันละอย่างน้อย 2 ลิตร เนื่องจากร่างกายมีการเผาผลาญไขมันส่วนเกินจึงทำให้ไตทำงานมากขึ้นการดื่มน้ำจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไตทำงานหนัก โดยการจิบบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการดื่มเป็นแก้ว เพราะจะทำให้มีอาการจุกแน่นได้
3 หมายถึง ทานอาหารให้ครบ 3 มื้อโดยไม่งดมื้อใดมื้อหนึ่ง และเคี้ยวให้ได้ 30 ครั้งก่อนกลืน จะช่วยลดอาการกลืนติด อาเจียน หรือจุกแน่นหลังทานอาหารและไม่ทำให้กระเพาะขยายขนาด
4 หมายถึง ออกกำลังกายวันละ 40 นาที ให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 120 - 130 ครั้งต่อนาที หรือประมาณ zone 2 เพื่อให้ร่างกายนำไขมันออกมาเผาผลาญให้ได้มากที่สุด
5 หมายถึง ออกกำลังกายให้ได้ 5 วันต่อสัปดาห์ อย่างสม่ำเสมอ เน้นการออกกำลังกายที่มีการกระแทกหรือบาดเจ็บน้อยในช่วงแรก ได้แก่ การว่ายน้ำ โดยสามารถเริ่มได้ตั้งแต่สองสัปดาห์หลังการผ่าตัด หรือเมื่อรู้สึกตัวเบาลงและพร้อมที่จะออกกำลังกาย