ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

รวมสารพัดข่าวปลอม เกี่ยวกับสรรพคุณรักษามะเร็ง

รวมสารพัดข่าวปลอม เกี่ยวกับสรรพคุณรักษามะเร็ง Thumb HealthServ.net
รวมสารพัดข่าวปลอม เกี่ยวกับสรรพคุณรักษามะเร็ง ThumbMobile HealthServ.net

มะเร็งเป็นโรคร้ายอันดับหนึ่งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด มีคนไทยอีกมากที่ต้องเจ็บป่วยเพราะมะเร็ง ความหวังในการค้นหาทางรักษาเยียวยาจึงมีอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน และอีกด้านหนึ่งปรากฏการหลอกลวงจำนวนมากเกี่ยวกับสารพัดสูตร สารพัดสรรพคุณของสิ่งต่างๆ ที่จะสามารถรักษาบรรเทาโรคมะเร็งได้ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนไม่เป็นความจริงทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ที่ผ่านๆมามีข่าวปลอมเกี่ยวกับการรักษามะเร็งอะไรบ้าง สถาบันมะเร็งและศูนย์ข่าวปลอมประเทศไทย ได้ทำการรวบรวมไว้จำนวนมาก ไปทบทวนกันดู

 

ข่าวปลอม! พบหินศิลาวิเศษมีสรรพคุณรักษามะเร็งราคาชิ้นละ 60,000 บาท LINK

จากกรณีที่มีการนําเสนอข่าวเกี่ยวกับการใช้หินพันทาบตามร่างกายเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อรักษาโรคมะเร็งและโรคเกี่ยวกับเส้นประสาทที่เรียกว่า “ศิลาบําบัด”ซึ่งอ้างว่าหินดังกล่าวมีคุณสมบัติในการดูดพิษออกจากร่างกายสามารถกําจัดเนื้อมะเร็งร้ายภายใน  10 วันและเรียกเก็บค่าบริการหลักแสนบาทซึ่งผู้ให้บริการนั้นอ้างว่าจบแพทย์แผนไทยสําหรับวิธีการใช้หินดูดพิษรักษาโรคหรือ “ศิลาบําบัด” ไม่ใช่องค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือกการใช้วิธีการดังกล่าวรักษาผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งอาจทําให้ผู้ป่วยขาดโอกาสในการได้รับการรักษาที่ถูกต้องตามมาตรฐานทางการแพทย์ซึ่งจะทําให้โรคที่เป็นอยู่รุกรามและทวีความรุนแรงเพิ่มมากยิ่งขึ้นได้ผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือผู้ป่วยโรคอื่นๆที่มีความรุนแรงควรได้รับการรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์โดยแพทย์แผนปัจจุบันก่อนเพราะจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วยมากที่สุดหากสนใจการแพทย์แผนไทยการแพทย์ทางเลือกหรือสมุนไพรเป็นการเสริมการรักษาต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนควรปรึกษา  หมอแผนปัจจุบันและคลินิกแพทย์แผนไทยของรัฐทั่วประเทศเพื่อให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษาควบคู่กันไปแต่ทั้งนี้การรักษาต้องคํานึงถึงสภาวะทางกายและจิตใจของผู้ป่วยร่วมด้วย


ข้อสรุป :  ข่าว ปลอมศิลาบําบัดไม่ใช่องค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือกและไม่มีข้อมูลวิชาการยืนยันว่ารักษามะเร็ง ได้ผู้ป่วยมะเร็งที่หลงเชื่ออาจทําให้ขาดโอกาสในการรักษาที่ถูกวิธีและทําให้โรคที่เป็นอยู่รุนแรงมากยิ่งขึ้นได้

ผลกระทบ/ข้อเสนอแนะ (ถ้ามี):ผลกระทบ  ต่อสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือผู้ป่วยโรคอื่นๆที่มีความรุนแรงควรได้รับการรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์โดยแพทย์แผนปัจจุบันก่อนหาก หลงเชื่ออาจทําให้ขาดโอกาสในการรักษาที่ถูกวิธีและทําให้โรคที่เป็นอยู่รุนแรงมากยิ่งขึ้นได้

ข่าวปลอม! สมุนไพรขันทองพยาบาทใช้รักษาโรคมะเร็ง LINK

ตามที่มีข้อมูลแนะนำในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นเรื่องสมุนไพรขันทองพยาบาทใช้รักษาโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
จากกรณีที่มีการแชร์สรรพคุณของสมุนไพรขันทองพยาบาท ว่าสามารถใช้รักษาโรคมะเร็งได้ ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการพบว่าขันทองพยาบาทไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็ง และไม่สามารถนำมาใช้รักษามะเร็งได้ ซึ่งปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งหลัก ๆ มี 3 วิธี ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด และรังสีรักษา โดยผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
 
สำหรับสมุนไพรขันทองพยาบาท (Suregada multiflora) เป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ในตำหรับยาสมุนไพรพื้นบ้านมีกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น อัลคาลอยด์ ซาโปนิน ฟลาโวนอยด์ เป็นต้น และจากผลการศึกษาวิจัยระดับเซลล์ในห้องปฏิบัติการ พบว่าสารนี้อาจมีส่วนในการยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง แต่ผลดังกล่าวเป็นเพียงงานวิจัยเบื้องต้น และยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าขันทองพยาบาทช่วยรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์
 
 
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800
 
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : จากการตรวจสอบข้อมูลวิชาการพบว่าขันทองพยาบาทไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็งและไม่สามารถนำมาใช้รักษามะเร็งได้ 

ข่าวปลอม! ต้นสะเดาดำ สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ LINK

ตามที่มีกระแสข่าวตามสื่อออนไลน์ เรื่อง ต้นสะเดาดำ สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่าสะเดาดำสามารถนำมารับประทานเพื่อรักษาโรคมะเร็งได้นั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าสะเดาดำช่วยรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ โดยต้นสะเดาดำ สามารถนำยอดและดอกมารับประทานได้เหมือนกับยอดสะเดาเขียวทั่วไป แต่พืชสะเดาดำนอกจากจะเป็นอาหารได้แล้วยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพร ได้แก่ ลดความดันโลหิตสูง ลดน้ำตาลในเลือด ช่วยเจริญอาหาร เป็นต้น จากการศึกษาข้อมูลพบว่าสารสำคัญที่พบมากในสะเดาดำ คือ แอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีบทบาทในการช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคระบบหัวใจหลอดเลือด เบาหวาน มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ในด้านการรักษาโรคไม่พบหลักฐานงานวิจัยที่ยืนยันได้ว่าสามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ อีกทั้งการรับประทานเพื่อหวังผลในด้านการรักษาโรคควรปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์
 
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800
 
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าสะเดาดำช่วยรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ ซึ่งการรับประทานเพื่อหวังผลในด้านการรักษาโรคควรปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์
 
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 

ข่าวปลอม! ใบทุเรียนเทศ! สามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้ LINK

ตามที่มีข่าวปรากฏตามสื่อ เกี่ยวกับประเด็น ใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
จากกรณีที่มีข่าวปรากฏตามสื่อเรื่อง ใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้ โดยระบุว่า การนำใบทุเรียนเทศมาต้มเป็นชาแล้วรับประทาน จะช่วยในการฆ่าเซลมะเร็ง ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำคีโมถึง 10,000 เท่า ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงถึงประเด็นนี้ว่า ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้ ซึ่งแม้ว่าจะมีรายงานวิจัยส่วนหนึ่งที่ระบุว่าใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่ายาเคมีบำบัดนั้น แต่ข้อมูลนี้เป็นเพียงงานวิจัยในระดับเซลล์ และสัตว์ทดลองเท่านั้น จึงไม่สามารถสรุปได้ว่าใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้
 
ซึ่งใบทุเรียนเทศมีสารบางชนิดที่มีฤทธิ์เป็นยาระงับปวด สามารถต้านการอักเสบ และต้านการเกิดเนื้องอก ทั้งนี้การศึกษาวิจัยในคนมีความสำคัญ และจำเป็นต้องศึกษาหลายด้าน เช่น กลไกการออกฤทธิ์ต่อเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง การส่งสัญญาณภายในเซลล์ การแยกสารที่ออกฤทธิ์ชนิดต่าง ๆ การทดสอบด้านพิษวิทยาและความปลอดภัย ตลอดจนการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากใบทุเรียนเทศวางจำหน่ายในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในรูปแปบ แคปซูลหรือชาชง ผู้บริโภคควรศึกษาส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์และหากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ สำหรับผู้ป่วยมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์
 
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800
 
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้
 
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข 

ข่าวปลอม! หากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันที LINK

ตามที่มีการบอกต่อข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องหากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันที ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
จากกรณีที่มีผู้โพสต์ระบุว่าหากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันที ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายต่อสภาวะกดดันทางกาย จิตใจ และอารมณ์ เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะมีการสร้างฮอร์โมนเพื่อตอบสนองต่อความเครียดนั้น ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น จากการสืบค้นข้อมูลเบื้องต้นพบว่าความเครียดอาจเกี่ยวข้องกับการขยายขนาดและแพร่กระจายของมะเร็งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง
 
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าการมีความเครียดน้อย ๆ ในช่วงสั้น ๆ จะทำให้ร่างกายตื่นตัว ส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในทางกลับกันหากความเครียดนั้นกินระยะเวลายาวนานจะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ และอาจนำไปสู่การมีพฤติกรรมเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เป็นต้น สำหรับการเผยแพร่ข้อมูลว่าหากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันทีนั้น พบว่ายังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันแน่ชัด และหากความเครียดส่งผลกระทบหลายด้าน จึงควรหาวิธีผ่อนคลายจากภาวะเครียด เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่ชอบ นั่งสมาธิ เป็นต้น
 
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800
 
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันแน่ชัด แต่ความเครียดอาจนำไปสู่การมีพฤติกรรมเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เป็นต้น 

ข่าวปลอม! สูตรเครื่องดื่มธัญพืชหรือน้ำอาร์ซี สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ LINK

ตามที่ได้มีข้อมูลปรากฏในสื่อออนไลน์ถึงประเด็นเรื่อง สูตรเครื่องดื่มธัญพืชหรือน้ำอาร์ซี สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
จากกรณีคำแนะนำชวนเชื่อถึงเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยระบุว่าน้ำชีวจิตหรือน้ำอาร์ซีช่วยต้านและรักษามะเร็งได้ ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สืบค้นข้อมูลและชี้แจงว่า น้ำชีวจิตหรือน้ำอาร์ซี (Rejuvenating Concoction, RC) เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของธัญพืช 9 ชนิด ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ ลูกเดือย ลูกบัว ข้าวฟ่าง ข้าวมันปู ข้าวซ้อมมือ และข้าวเหนียวกล้อง โดยนำมาต้มจนสุก แล้วรินเอาเฉพาะน้ำมาดื่ม น้ำอาร์ซีประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่ร่างกายต้องการ ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียและช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ แต่ในปัจจุบันยังไม่พบงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการนำน้ำอาร์ซีมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ทั้งนี้ น้ำอาร์ซี ถือเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง ซึ่งอย่างไรก็ตามผู้บริโภคควรศึกษารายละเอียดส่วนผสม และกระบวนการผลิตที่ถูกหลักอนามัย การใช้เพื่อหวังผลด้านการรักษาโรคควรปรึกษาแพทย์โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง
 
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800
 
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : น้ำชีวจิตหรือน้ำอาร์ซีถือเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียและช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ แต่ในปัจจุบันยังไม่พบงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการนำน้ำอาร์ซีมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง 

ข่าวปลอม! การทำแมมโมแกรม เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านม LINK

ตามที่มีข้อมูลปรากฎเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการทำแมมโมแกรม เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านม ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
จากกรณีที่มีการบอกต่อข้อมูลโดยระบุว่า การทำแมมโมแกรม เป็นอันตราย และเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านม ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า การตรวจแมมโมแกรม เป็นการตรวจทางรังสีชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับตรวจเต้านมโดยเฉพาะ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมที่มีประสิทธิภาพ สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านมได้ โดยการตรวจแมมโมแกรมแนะนำให้ตรวจในผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีความเสี่ยง ได้แก่ มีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ ผู้หญิงที่ได้รับฮอร์โมนเสริมทดแทนในวัยทองเป็นเวลานานกว่า 5 ปี เป็นต้น 
 
จากการเผยแพร่ข้อมูลว่าการทำแมมโมแกรมเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านมนั้น จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าการทำแมมโมแกรมไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านม แม้ว่าการตรวจแมมโมแกรมจะทำให้ได้รับรังสี แต่ก็อยู่ในปริมาณที่น้อยมาก ๆ จึงมีความปลอดภัย แต่ควรหลีกเลี่ยงการตรวจแมมโมแกรมในช่วงสัปดาห์ก่อนที่มีประจำเดือน เพื่อลดความเจ็บ สำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือมีความเป็นไปได้ในการตั้งครรภ์ควรมีการแจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ฉายรังสีก่อนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์
 
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ  www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800
 
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าการทำแมมโมแกรมไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านม แม้ว่าการตรวจแมมโมแกรมจะทำให้ได้รับรังสี แต่ก็อยู่ในปริมาณที่น้อยมาก ๆ จึงมีความปลอดภัย 

ข่าวปลอม! เคี้ยวเม็ดมะละกอสุก รักษามะเร็งระยะสุดท้าย เห็นผลใน 1 เดือน LINK

ตามที่มีการแชร์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเคี้ยวเม็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ำตาม วันละ 3 เม็ด รักษามะเร็งระยะสุดท้าย เห็นผลใน 1 เดือน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
กรณีที่มีคลิปวิดีโอแนะนำข้อมูลสุขภาพโดยระบุว่าเคี้ยวเม็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ำตาม วันละ 3 เม็ด รักษามะเร็งระยะสุดท้าย เห็นผลใน 1 เดือน ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าจากข้อมูลวิชาการ ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าการรับประทานเมล็ดมะละกอสุกช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในคนได้
 
อย่างไรก็ตาม เมล็ดมะละกอประกอบไปด้วยสารต่าง ๆ เช่น กรดไขมัน โปรตีน และใยอาหาร เป็นต้น เมล็ดมะละกอถูกนำมาใช้ปรุงอาหารหรือทำเป็นยารักษาโรคตามภูมิปัญหาพื้นบ้านในบางประเทศ เช่น ประเทศอินเดีย นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยที่พบสารสำคัญของเมล็ดมะละกอ เช่น สารเบนซิลกลูโคซิโนเลต (benzyl glucosinolate) ซึ่งจะถูกไฮโดรไลท์ไปเป็นสารเบนซิลไอโซไทโอไซยาเนท (benzyl Isothiocyanate) ที่มีผลการศึกษาว่าสามารถช่วยยับยั้งการแบ่งตัวเซลล์มะเร็ง แต่การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นเพียงการศึกษาที่อยู่ในระดับหลอดทดลองเท่านั้น และยังไม่มีการศึกษาในระดับสัตว์ทดลองหรือในมนุษย์ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกหลายขั้นตอน
 
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (nci.go.th) หรือโทร. 02 2026800
 
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : จากข้อมูลวิชาการ ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าการรับประทานเมล็ดมะละกอสุกช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในคนได้ 

ข่าวปลอม! วิธีลดผลข้างเคียงในการทำคีโม LINK

ตามที่มีข้อมูลในสังคมออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นเรื่องวิธีลดผลข้างเคียงในการทำคีโม ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
จากกรณีที่มีคลิปแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพโดยระบุว่าวิธีลดผลข้างเคียงในการทำคีโม ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าคีโมหรือเคมีบำบัด (Chemotherapy) เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่ใช้ยาหลายรูปแบบ เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยการทำคีโมอาจมีผลทำให้เซลล์ปกติของร่างกายถูกทำลาย โดยเฉพาะเซลล์ที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก เบื่ออาหาร ผมร่วง ร้อนใน มีแผลในเยื่อบุต่าง ๆ ภูมิต้านทานต่ำ เป็นต้น อาการเหล่านี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของยา รวมทั้งสภาวะความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย
 
ทั้งนี้ อาการข้างเคียงดังกล่าวข้างต้นจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหยุดการรักษาอาการต่าง ๆ ก็จะหายไป จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าวิธีลดผลข้างเคียงในการทำคีโม โดยเน้นการกินอาหารที่มีไขมันและโปรตีน ลดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล (การกินคีโต) การอดอาหารโดยการทำ Intermittent Fasting (IF) รวมทั้งการกินผักที่มีสารไฟโตนิวเทรียนท์นั้น ไม่สามารถลดผลข้างเคียงในการทำคีโมได้ เนื่องจากหากร่างกายของผู้ป่วยที่ทำคีโมอยู่ในภาวะขาดอาหาร อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ส่งผลเสียต่อการรักษา และการรับประทานอาหารครบหมู่ตามความต้องการของร่างกายจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว นอกจากนี้ช่วงการทำคีโมควรงดการกินผักและผลไม้สด เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
 
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ทำคีโมควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ปรุงสุก สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮล์ การสูบบุหรี่ เป็นต้น และหากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น มีไข้สูงและปวดหัวผิดปกติ เลือดออกง่ายหรือมีรอยช้ำที่ไม่ทราบสาเหตุ เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงและหายใจลำบาก ผู้ป่วยควรพบแพทย์หรือนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
 
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (nci.go.th) หรือโทร. 02 2026800
 
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันว่าการกินคีโต การทำ IF และการกินผักที่มีสารไฟโตนิวเทรียนท์เป็นวิธีลดผลข้างเคียง ในการทำคีโม 

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด